Chapter 3: First Day
เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดัง ก่อนจะมาพร้อมเสียงทักทาย
“ยินดีต้อนรับครับ”
ผู้มาใหม่หันขวับไปมองต้นเสียงซึ่งยืนอยู่กลางร้านอย่างงงงัน เห็นคนๆ
หนึ่งในชุดพนักงานของร้านโซดิแอคคาเฟ่กำลังยืนถือไม้ถูพื้นอยู่กลางร้าน
ไม่ต้องถามก็รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
แต่ที่น่าสงสัยน่ะ…คือใบหน้าเนียนขาวติดหวานเล็กน้อยที่ส่งยิ้มมา
นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์สบมองอย่างเป็นมิตร ผมสีทองยาวรวบขึ้นไปครึ่งศีรษะ
คำพูดที่ถ้าไม่สังเกตอาจไม่รู้เลยก็ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ชาย
แต่จะดูยังไง สำหรับเขา…คนๆ นี้ก็ไม่คุ้นตาสักนิด
“หมอนี่ใคร?”
ร่างในชุดนักศึกษาหันไปถามบาร์เทนเดอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
“พนักงานใหม่”
“ห๊ะ…” เสียงอุทานดังตามมา รามีเอลยิ้มเจื่อนเมื่อนัยน์ตาต่างสีสบกัน
เพราะคำถามเมื่อครู่กับคำอุทานนั่นได้ยินมาเป็นรอบที่สามของวัน…
ครั้งแรกจากดราค โคโซโร่ พ่อครัวซึ่งมาประจำร้านตั้งแต่ตอนเที่ยง
ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในครัว คนๆ นั้นพอเห็นหน้าเขาปุ๊บก็ทำสีหน้าคล้ายๆ
ฟรอสต์ในตอนแรกคือการส่งคำถามทางสายตา
ทว่าแตกต่างกันตรงที่ดราคกลับออกปากถามด้วย
ครั้งที่สองจากอินเว่ เอลลาโต้
นักดนตรีประจำคาเฟ่ที่มาตั้งแต่ตอนห้าโมงเย็นหลังเลิกงาน
พ่อนักดนตรีคนนั้นยิ้มแย้มและดูท่าทางเป็นมิตรกับเขาดี
และครั้งที่สาม…ก็เด็กหนุ่มตรงหน้านี่แหละ
สีหน้าเด็กหนุ่มอายุอานามยี่สิบต้นๆ ส่อแววฉงนเต็มที่
จ้องมองพนักงานใหม่อย่างสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง
ส่วนมือไม้ก็เอาขึ้นมาเกาท้ายทอยยิกไปพลางระหว่างที่หัวสมองกำลังหาคำพูด
“นาย…”
“เขาชื่อรามีเอล เรมีอา อายุมากกว่านาย รูเม่”
วานีนแถลงไถให้เสร็จสรรพ ก่อนจะหันไปทางคนที่ยืนเอ๋ออยู่ในร้านอีกคนหนึ่ง
“รามีเอล นี่รูเมน โบมาซัม เป็นรุ่นน้องน่ารักน่าชัง
แล้วก็เป็นหุ้นส่วนของที่นี่”
“สวัสดีครับ” รามีเอลยิ้มบาง
“ยินดีที่ได้รู้จัก” อีกคนตอบพลางทำหน้าเอ๋อๆ แล้วหันหน้าไปหาคนที่ประจำอยู่ในบาร์ “นายคิดไงรับพนักงาน?”
รูเมน โบมาซัมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีสี่ มีเรือนผมสั้นสีส้ม
และดวงตาสีมรกตตัดกันได้อย่างน่าดู
รูปร่างสมส่วนดูดีทว่าไม่สูงมากนักอยู่ในชุดนักศึกษา
แต่แม้อายุจะขึ้นเลขสอง
สำหรับรามีเอลแล้วดวงหน้าอ่อนเยาว์ดูดีของเจ้าตัวก็ทำให้อีกฝ่ายดูเด็กกว่า
อายุนัก
“รับพนักงาน ก็คิดว่าจะให้มาทำงานน่ะสิ” คนถูกถามตอบ
ส่งผลให้คนถามส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดใจ
นึกอยากยันโครมไอ้คนอาวุโสกว่า ติดแต่ว่ามีเคาน์เตอร์กั้น
“เค้าถามอะไรก็ตอบดีๆ ไปซี่”
เสียงตำหนิจากฟรอสต์ที่เข้ามาช่วยหลังเคาน์เตอร์เพราะลูกค้าไม่เยอะนัก
ทำให้คนถูกตำหนิหันไปแจกค้อนเป็นรางวัลที่คนที่ไม่อยากได้สักนิด
งอนอย่างกับเป็นผู้หญิง
ฟรอสต์คิด
“ฉันตอบดีๆ นะ ก็จะให้มาทำงานจริงๆ” อีกฝ่ายเถียง
แล้วหันไปโวยใส่รูเมนแทนอย่างหงุดหงิด “ก็พวกนายมาเป็นเวล่ำเวลากันที่ไหน
ฉันก็ต้องหาคนช่วยสิ”
“เหอะๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างเซ็งๆ
แล้วหันไปจับมือกับพนักงานใหม่ “ยินดีที่ได้รู้จักนะ
ผมเป็นพ่อครัวของที่นี่ ถ้าพี่มีอะไรก็ถามผมได้”
“ครับ” คนอายุมากกว่า แต่ระดับอายุการทำงานต่ำกว่าเอ่ยรับสุภาพอย่างเคยชิน จนคนฟังชะงักไปแล้วยิ้มน้อยๆ
“ไม่ต้องสุภาพกับผมนักก็ได้ แล้วก็เรียกผมว่า รูเม่ แล้วกันนะ”
รามีเอลรับคำแล้วไม่พูดอะไรนอกจากยิ้ม ส่วนเด็กหนุ่มก็หายเข้าหลังร้านไป
“โอ๊ะโอ๋…”
แว่วเสียงกระเซ้าเหย้าแหย่จากคนที่กำลังเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขก
คุณเจ้าของร้านเสือผู้หญิงเดินผ่านมาได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าพอดิบพอดี
เจ้าตัวเดินเข้ามาแล้วเอ่ยสัพยอก
“หายากนะเนี่ยที่เจ้าเด็กอวดดีนั่นจะพูดสุภาพกับคนอื่น
ปกติเห็นดีแต่กวนส้นเท้าชาวบ้าน”
คนฟังถอนหายใจน้อยๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เขารู้จักคำว่ามารยาทน่ะ
อย่างน้อยก็อาจจะดีกว่าใครบางคนแถวนี้ที่แกล้งคนอื่นด้วยการใช้แรงงาน”
หนึ่งวันกับการทำงานที่โซดิแอคคาเฟ่ทำให้เขาซึ้งเข้าไปถึงขั้วหัวใจกับคำ
ว่า ‘เบ๊’ เมื่อคุณเจ้าของร้านตัวดีเล่นใช้แรงงานเขาไม่มีหยุด
เริ่มต้นตั้งแต่ใช้ให้จัดโต๊ะให้สวย
อ้างว่าเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าควรจะมีดอกไม้วางประดับอยู่ทุกโต๊ะ
ใช้ให้เขาไปซื้อดอกไม้มาประดับ
งานขัดห้องน้ำให้เงาวับเพื่อสร้างความสบายใจให้แก่ลูกค้าเวลาทำธุระส่วน
ตั๊วส่วนตัวในส้วม
งานรดน้ำต้นไม้ข้างนอกให้สดชื่นเพื่อให้ลูกค้าชื่นชมว่าร้านนี้เอาใจใส่แก่
สิ่งมีชีวิตทุกประเภท
งานเช็ดกระจกให้ใสปิ๊งเพื่อให้แสงอาทิตย์ที่มันกระทบกระจกจะได้สาดสะท้อน
เข้านัยน์ตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้หันมาสนใจ
งานปัดกวาดเช็ดถูหยากไย่หลังร้านก็เพื่อให้ร้านดูสะอาดอยู่เสมอ
งานจัดคลังสินค้าต่างๆ ให้เข้าที่ก็เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไอ้ที่คนสั่งพูดพล่ามมาทั้งหมดน่ะมันมีเหตุผลที่เขาเถียงไม่ออกสักแอะ
แต่ถ้าไอ้คนสั่งมันเอาใจใส่ร้านขนาดนั้นทำไมมันไม่ลงมาทำเองบ้างล่ะว้อย!
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาซึ้งกับมันได้ยังไง!
นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเหลือบมามองด้วยแววตาที่รามีเอลสรุปได้คำเดียวว่ามัน
ช่างดูชั่วร้ายสุดๆ ก่อนคุณเจ้าของร้านจะเริ่มเอ่ยเสียงเย็นๆ
อย่างเหนือกว่า
“วันนี้ฉันคงใช้งานนายหนักไปจนลืมไปซะสนิทเลยว่ามีอีกเรื่องที่ต้องสอน”
ว่าพลางคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อคนถูกใช้งานก่อนจะพาลากเข้าหลังร้าน
รามีเอลโวยวายปัดมืออีกฝ่ายออกโดยเร็ว
เจ้าของร้านเลยยิ่งหรี่ตาลงอย่างมาดร้าย “ในฐานะที่ฉันเป็นพี่เลี้ยงนาย
แถมยังเป็นเจ้าของร้านอีกต่างหาก คงต้องสอนมารยาทนายกันแล้วล่ะ
อย่าบอกนะว่าตอนทำงานบริษัทนายเที่ยวยอกย้อนเจ้านายตัวเองแบบนี้”
คนถูกตำหนิสะอึกกึ๊ก มองหน้าคนเป็นเจ้านายที่ดูยังไงก็ไม่น่าสุภาพด้วยสักนิดแล้วแย้งอย่างไม่ยอมแพ้
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้านายของฉันน่าสุภาพด้วยสักแค่ไหน”
คนฟังยิ้มร้ายแล้วเอามือเท้าฝาผนัง “โฮ่…
นายอาจจะไม่ชอบหน้าฉันเรื่องเมื่อเช้านะ
แต่ยังไงตอนนี้ฉันกับนายก็เป็นเจ้านายกับลูกน้อง
เจ้านายสั่งอะไรลูกน้องก็ต้องทำสิ”
ชิ… รามีเอลได้แต่สบถอย่างเจ็บใจ คิ้วขมวดมุ่น
ยกมือกุมขมับอย่างลำบากใจหนัก ถึงแม้ไอ้คำพูดนั่นมันจะจริงก็เถอะ
แต่เขาล่ะเจ็บใจจริงๆ ที่ต้องเชื่อฟังคนอย่างหมอนี่
ไอ้ที่หาเรื่องแกล้งตลอดทั้งวันนี่มันยังไม่พอหรือไง
คิดไปปากก็ขยับเถียงอย่างอดไม่อยู่
“ฉันไม่ใช่ทาสหรือขี้ขาใครสักหน่อยจะได้ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง
ถ้าเจ้านายสั่งลูกน้องต้องทำเสมอล่ะก็ ขืนนายสั่งให้ฉันไปตาย
ฉันไม่ต้องวิ่งออกไปฆ่าตัวตายเรอะ
อย่าคิดนะว่าไอ้ที่หางานให้ฉันทำตลอดวันนี่ฉันจะไม่รู้นะว่านายแกล้ง”
ว่าแล้วคนถูกแกล้งก็ชีนิ้วจิ้มจึกๆ เข้าที่อกคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง
“คนที่เจ็บใจกับเรื่องเมื่อเช้าน่ะ มันนายมากกว่า ไม่ใช่ฉัน”
“นาย..”
“เมื่อเช้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ” เสียงทักขัดจังหวะดังมาจากด้านข้าง
เสียงนั้นเป็นของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินอมม่วง
นัยน์ตาสีครามโผล่ออกมาจากประตูห้องครัว
“อินเว่” เลออสเอ่ยชื่อชายหนุ่มตรงหน้า
ก่อนจะเลื่อนสายตาไปเห็นอีกสองคนที่อยู่ตรงประตูครัวกำลังทำหน้าสนใจกับสิ่ง
ที่ได้ยินเมื่อครู่
“เอ…วันนี้มีอะไรที่ฉันพลาดไปรึเปล่า”
เจ้าของอีกเสียงเป็นชายร่างสูงผิวสีเข้ม
นัยน์ตาสีทองอร่ามของเจ้าของเต็มไปด้วยประกายความอยากรู้
ในมือยังถือกระบวยค้าง บ่งบอกว่าอยู่ในช่วงกำลังทำอาหาร
ชายหนุ่มคนนี้คือพ่อครัวอีกคนหนึ่งของคาเฟ่…ดราค โคโซโร่
“นั่นสินะ…” อีกคนคือรูเม่ที่เอ่ยยิ้มๆ
แล้วหันมามองเลออสด้วยนัยน์ตาระยับอยากรู้ไม่แพ้คนข้างๆ “ว่าไงเลออส
…เมื่อเช้ามีเรื่องอะไรกับพี่รามีเอลหรือไง
หรือว่า…จะเกี่ยวกับที่วานีนรับพี่รามีเอลเข้ามาทำงาน?”
“ไม่ใช่หรอกน่า” เลออสปฏิเสธเสียงเข้ม
นัยน์ตาส่อแววดุเมื่อเห็นลางซวยลอยอยู่รำไร “พวกนายกลับไปทำงานได้แล้วไป๊
แล้วนาย…อินเว่ ทำไมมาอยู่ในครัว”
คนถูกทักยักไหล่น้อยๆ “ก็มาหาอะไรกินน่ะสิ”
คราวนี้คุณเจ้าของร้านแยกเขี้ยววาววับ “ครัวฉันไม่ใช่โรงอาหาร
อยากกินก็ออกไปซื้อกินข้าวนอกนู่น” แล้วก็ชะงักกึก
เมื่อเจ้าเด็กตัวแสบบางคนมันยังไม่ชอบเลิกราปล่อยให้เรื่องที่อยากรู้ผ่านไป
ง่ายๆ
“พี่รามีเอล เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“หรือว่าไปแย่งจีบสาวของเจ้าเลออสมัน” ดราคเริ่มตั้งข้อสังเกต ยกมือขึ้นมาจับคางอย่างใช้ความคิด “เป็นไปได้”
นัยน์ตาสีครามของอินเว่เหลือบมองรามีเอลอย่างพินิจ แล้วว่า “นายจะบ้าหรือเปล่า รามีเอลเนี่ยนะจะจีบใคร น่าจะโดนจีบมากกว่ามั้ง”
บทสนทนาที่พาเอาคนฟังอีกสองคนไม่รู้จะบอกยังไงดี
คนถูกถามกำลังกลืนล้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ฟังคำสันนิษฐานที่เดาถูกจนน่าตกใจ
ส่วนอีกคนกำลังอารมณ์ต่ำอย่างเห็นได้ชัด
สุดท้ายบทสนทนาของคนขี้สงสัยสามคนตรงหน้าก็ต่อไม่ติดเพราะเสียงอันหมดความอด
ทนของคุณเจ้าของร้าน
“อินเว่ เอลลาโต้ รูเมน โบมาซัม ดราค โคโซโร่ พวกแกไสหัวไปทำงานได้แล้ว!”
เวลาประมาณสามทุ่มที่นั่งในโซดิแอคคาเฟ่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนจนรามีเอ
ลต้องตกใจ บาร์เหล้าเปิดให้บริการมาตั้งแต่ตอนหนึ่งทุ่มแล้ว
ลูกค้าที่เดินเข้าร้านส่วนใหญ่มักจะเป็นคนวัยทำงานที่ต้องการหาที่สังสรรค์
หลังการอยู่ทำงานในตอนกลางคืนอันเหนื่อยเหน็ด
ที่นั่งบริเวณเคาน์เตอร์บาร์เริ่มไม่ว่างตั้งแต่นั้น
วานีนเริ่มทำงานมือเป็นระวิงอยู่หลังบาร์
ถึงแม้บาร์เทนเดอร์หน้าสวยจะยิ้มระรื่นรับแขกตลอดเวลาก็เถอะ
อินเว่เองหลังจากเข้าไปหาอะไรกินในครัว(และโดนเลออสด่าเปิงกลับมารอบที่
สอง)ก็เริ่มประจำที่บริเวณเวทีในร้าน
นิ้วเรียวยาวบรรจงกดแป้นคีย์เปียโนหลังเดียวในร้าน
ก่อนจะบรรเลงบทเพลงอ่อนหวานละมุน
รูเม่และดราคที่อยู่ในครัวเองก็เริ่มวุ่นอยู่หน้าเตากับการปรุงอาหารเย็น
ให้กับบรรดาลูกค้า บริกรหนุ่ม…ฟรอสต์
เริ่มถือถาดอาหารเดินร่อนไปทั่วร้านจนดูขัดกับภาพลักษณ์ชายหนุ่มเงียบขรึม
อย่างไรชอบกล
เจ้าตัวเพียงขยับยิ้มเพียงนิดเดียวเมื่อสาวพนักงานบริษัทคนหนึ่งโปรยยิ้มส่ง
ให้
และที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือไอ้คุณเจ้าของร้านเสือผู้หญิงที่กำลังรินไวน์
เสิร์ฟสาวสวยคนหนึ่งถึงโต๊ะ พร้อมยิ้มหวานส่งสายตาระริกผิดกับฟรอสต์ลิบลับ
“สำหรับผู้หญิงที่สวยที่สุดในร้านคืนนี้ครับ” หยอดคำหวานเสร็จสรรพก็จะแย้มยิ้มพรายสยบใจสาวอีกรอบ
พ่อเจ้าประคุณ นี่คิดว่าตัวเองเปิดร้านโฮสคลับอยู่หรือไง
ส่วนเขาน่ะหรือ…หลังจากได้เดินออกมาเสิร์ฟอาหารได้หน่อยเดียวก็ถูกไอ้เจ้าของร้านไล่กลับไปล้างจานอีกแล้ว
และหลังจากลงมือสะสางงานตัวเองไปได้สักพักก็รู้ซึ้งว่า…ไอ้งานเบ๊ที่ทำไป
เมื่อเช้าอาจจะดีกว่างานล้างจานในครัวอยู่ก็เป็นได้ เพราะล้างไป
ถึงจานจะค่อยๆ ลดลง แต่อีกแป๊ปเดียวมันก็เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างน่าอัศจรรย์
ล้างเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหมดซักที
มือที่แช่น้ำยาล้างจานมาเกือบชั่วโมงไม่มีหยุดพักเริ่มเหี่ยวอย่างกับมือคน
แก่ กลิ่นน้ำยาก็ลอยฟุ้งแตะจมูก
รู้สึกร้อนแต่ไม่มีเวลาจะใช้มือกระพือคอเสื้อคลายร้อนซักนาทีเพราะพายุจาน
เพิ่มมาอย่างกับห่าลง
พระผู้เป็นเจ้า…ใครก็ได้ช่วยผลิตจานที่กินได้ขึ้นมาที งานคนล้างจานมันจะได้เบาลงกว่านี้หน่อย
แล้ววันนี้เขาจะต้องตายอยู่ท่ามกลางกองจานและน้ำยานี่หรือเปล่า
คิดพลางหันไปดูรูเม่ที่เหงื่อตกอยู่หน้าเตา มือหนึ่งจับกระทะ
อีกมือหนึ่งจับตะหลิว สูดดมควันอาหารที่ลอยฟุ้งแล้วก็เริ่มปลอบใจตัวเองว่า
งานล้างจานยังดีที่ไม่มีกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า
เอาวะ
คิดได้เสร็จก็ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจปลงกับชะตาชีวิตตัวเอง
ลงมือทำงานตรงหน้าอย่างตั้งใจ
แต่เสียงถอนหายใจนั่นก็ดังไปเข้าหูคนที่อยู่ในครัวด้วยกัน
“เหนื่อยหน่อยนะ” ดราคเอ่ยทักแม้เจ้าตัวจะท่าทางเหนื่อยไม่แพ้กัน
“ผมกำลังสงสัยว่า ก่อนที่ผมจะมาทำงานใครเป็นคนล้างจานพวกนี้”
“จริงๆ แล้วก็ไม่มีหรอก
แต่ฟรอสต์…หมอนั่นมันทนความซกมกของอ่างล้างจานไม่ได้เลยต้องมาปวารณาตัวล้าง
จานเองทุกที” คำบอกเล่าของพ่อครัวผิวคมเข้มที่แย้มยิ้มบางๆ อย่างขำขัน
“นายมาอยู่ก็ดี จะได้ล้างจานแทนมัน”
“ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่กับน้ำยาล้างจานและสก็อตไบร์ทไปตลอดชีวิตการทำงานหรอกครับ”
“แต่มีคนอีกตั้งหลายคนที่มีชีวิตอยู่กับฝุ่นควันข้างนอกโดยไม่มีโอกาสจับ
ไม้กวาดเป็นภารโรงด้วยซ้ำ”
คำย้อนของพ่อครัวหนุ่มทำให้รามีเอลต้องสะอึกอย่างรู้สึกผิดกับตัวเอง
“เอาแต่เลือกงาน แล้วเมื่อไหร่มันจะได้งานทำ”
“นั่นสินะครับ” จำนนด้วยเหตุผล
เพราะเขาก็ไม่รู้ชะตาชีวิตตนเองเหมือนกันว่าหากวันนี้วานีนไม่ชวนเขาเข้ามา
ทำงาน พรุ่งนี้เขาจะเป็นยังไง
เห็นท่าทีอย่างนั้นคนเป็นรุ่นพี่สอนงานเลยพูดปลอบ “อย่ากังวลไปเลยน่า
ยังไงนายก็ได้งานแล้วน่า หลังเลิกงานวันนี้ฉลองรับน้องกันสักหน่อยดีกว่า”
เจ้าตัวเริ่มวางแผนการคลายเครียด ก่อนจะหันไปถามอีกคนที่วุ่นอยู่หน้าเตา
แต่หูสดับฟังทุกคำพูด “หรือนายว่ายังไง รูเม่”
“แจ๋ว! วันนี้เรามาก๊งกันเถอะ!”
ห๊ะ..
-To be Continued-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น