หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Zodiac Cafe’ : Chapter 3

Chapter 3: First Day


เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดัง ก่อนจะมาพร้อมเสียงทักทาย

“ยินดีต้อนรับครับ”

ผู้มาใหม่หันขวับไปมองต้นเสียงซึ่งยืนอยู่กลางร้านอย่างงงงัน  เห็นคนๆ หนึ่งในชุดพนักงานของร้านโซดิแอคคาเฟ่กำลังยืนถือไม้ถูพื้นอยู่กลางร้าน  ไม่ต้องถามก็รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ที่น่าสงสัยน่ะ…คือใบหน้าเนียนขาวติดหวานเล็กน้อยที่ส่งยิ้มมา  นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์สบมองอย่างเป็นมิตร  ผมสีทองยาวรวบขึ้นไปครึ่งศีรษะ  คำพูดที่ถ้าไม่สังเกตอาจไม่รู้เลยก็ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ชาย  แต่จะดูยังไง สำหรับเขา…คนๆ นี้ก็ไม่คุ้นตาสักนิด

“หมอนี่ใคร?”

ร่างในชุดนักศึกษาหันไปถามบาร์เทนเดอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด

“พนักงานใหม่”

“ห๊ะ…”  เสียงอุทานดังตามมา  รามีเอลยิ้มเจื่อนเมื่อนัยน์ตาต่างสีสบกัน  เพราะคำถามเมื่อครู่กับคำอุทานนั่นได้ยินมาเป็นรอบที่สามของวัน…

ครั้งแรกจากดราค โคโซโร่ พ่อครัวซึ่งมาประจำร้านตั้งแต่ตอนเที่ยง  ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในครัว  คนๆ นั้นพอเห็นหน้าเขาปุ๊บก็ทำสีหน้าคล้ายๆ ฟรอสต์ในตอนแรกคือการส่งคำถามทางสายตา  ทว่าแตกต่างกันตรงที่ดราคกลับออกปากถามด้วย

ครั้งที่สองจากอินเว่ เอลลาโต้ นักดนตรีประจำคาเฟ่ที่มาตั้งแต่ตอนห้าโมงเย็นหลังเลิกงาน  พ่อนักดนตรีคนนั้นยิ้มแย้มและดูท่าทางเป็นมิตรกับเขาดี

และครั้งที่สาม…ก็เด็กหนุ่มตรงหน้านี่แหละ

สีหน้าเด็กหนุ่มอายุอานามยี่สิบต้นๆ ส่อแววฉงนเต็มที่  จ้องมองพนักงานใหม่อย่างสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง  ส่วนมือไม้ก็เอาขึ้นมาเกาท้ายทอยยิกไปพลางระหว่างที่หัวสมองกำลังหาคำพูด

“นาย…”

“เขาชื่อรามีเอล เรมีอา  อายุมากกว่านาย รูเม่”  วานีนแถลงไถให้เสร็จสรรพ  ก่อนจะหันไปทางคนที่ยืนเอ๋ออยู่ในร้านอีกคนหนึ่ง  “รามีเอล  นี่รูเมน โบมาซัม เป็นรุ่นน้องน่ารักน่าชัง แล้วก็เป็นหุ้นส่วนของที่นี่”
“สวัสดีครับ”  รามีเอลยิ้มบาง

“ยินดีที่ได้รู้จัก”  อีกคนตอบพลางทำหน้าเอ๋อๆ แล้วหันหน้าไปหาคนที่ประจำอยู่ในบาร์  “นายคิดไงรับพนักงาน?”

รูเมน โบมาซัมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีสี่  มีเรือนผมสั้นสีส้ม และดวงตาสีมรกตตัดกันได้อย่างน่าดู  รูปร่างสมส่วนดูดีทว่าไม่สูงมากนักอยู่ในชุดนักศึกษา  แต่แม้อายุจะขึ้นเลขสอง  สำหรับรามีเอลแล้วดวงหน้าอ่อนเยาว์ดูดีของเจ้าตัวก็ทำให้อีกฝ่ายดูเด็กกว่า อายุนัก

“รับพนักงาน ก็คิดว่าจะให้มาทำงานน่ะสิ”  คนถูกถามตอบ  ส่งผลให้คนถามส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดใจ  นึกอยากยันโครมไอ้คนอาวุโสกว่า  ติดแต่ว่ามีเคาน์เตอร์กั้น

“เค้าถามอะไรก็ตอบดีๆ ไปซี่”  เสียงตำหนิจากฟรอสต์ที่เข้ามาช่วยหลังเคาน์เตอร์เพราะลูกค้าไม่เยอะนัก ทำให้คนถูกตำหนิหันไปแจกค้อนเป็นรางวัลที่คนที่ไม่อยากได้สักนิด

งอนอย่างกับเป็นผู้หญิง

ฟรอสต์คิด

“ฉันตอบดีๆ นะ  ก็จะให้มาทำงานจริงๆ”  อีกฝ่ายเถียง  แล้วหันไปโวยใส่รูเมนแทนอย่างหงุดหงิด  “ก็พวกนายมาเป็นเวล่ำเวลากันที่ไหน  ฉันก็ต้องหาคนช่วยสิ”

“เหอะๆ”  เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างเซ็งๆ  แล้วหันไปจับมือกับพนักงานใหม่  “ยินดีที่ได้รู้จักนะ  ผมเป็นพ่อครัวของที่นี่  ถ้าพี่มีอะไรก็ถามผมได้”

“ครับ”  คนอายุมากกว่า  แต่ระดับอายุการทำงานต่ำกว่าเอ่ยรับสุภาพอย่างเคยชิน  จนคนฟังชะงักไปแล้วยิ้มน้อยๆ

“ไม่ต้องสุภาพกับผมนักก็ได้  แล้วก็เรียกผมว่า รูเม่ แล้วกันนะ”

รามีเอลรับคำแล้วไม่พูดอะไรนอกจากยิ้ม  ส่วนเด็กหนุ่มก็หายเข้าหลังร้านไป

“โอ๊ะโอ๋…”  แว่วเสียงกระเซ้าเหย้าแหย่จากคนที่กำลังเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขก  คุณเจ้าของร้านเสือผู้หญิงเดินผ่านมาได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าพอดิบพอดี  เจ้าตัวเดินเข้ามาแล้วเอ่ยสัพยอก  “หายากนะเนี่ยที่เจ้าเด็กอวดดีนั่นจะพูดสุภาพกับคนอื่น  ปกติเห็นดีแต่กวนส้นเท้าชาวบ้าน”

คนฟังถอนหายใจน้อยๆ  แล้วเอ่ยเสียงเรียบ  “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เขารู้จักคำว่ามารยาทน่ะ  อย่างน้อยก็อาจจะดีกว่าใครบางคนแถวนี้ที่แกล้งคนอื่นด้วยการใช้แรงงาน”

หนึ่งวันกับการทำงานที่โซดิแอคคาเฟ่ทำให้เขาซึ้งเข้าไปถึงขั้วหัวใจกับคำ ว่า ‘เบ๊’ เมื่อคุณเจ้าของร้านตัวดีเล่นใช้แรงงานเขาไม่มีหยุด  เริ่มต้นตั้งแต่ใช้ให้จัดโต๊ะให้สวย อ้างว่าเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าควรจะมีดอกไม้วางประดับอยู่ทุกโต๊ะ ใช้ให้เขาไปซื้อดอกไม้มาประดับ  งานขัดห้องน้ำให้เงาวับเพื่อสร้างความสบายใจให้แก่ลูกค้าเวลาทำธุระส่วน ตั๊วส่วนตัวในส้วม  งานรดน้ำต้นไม้ข้างนอกให้สดชื่นเพื่อให้ลูกค้าชื่นชมว่าร้านนี้เอาใจใส่แก่ สิ่งมีชีวิตทุกประเภท  งานเช็ดกระจกให้ใสปิ๊งเพื่อให้แสงอาทิตย์ที่มันกระทบกระจกจะได้สาดสะท้อน เข้านัยน์ตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้หันมาสนใจ  งานปัดกวาดเช็ดถูหยากไย่หลังร้านก็เพื่อให้ร้านดูสะอาดอยู่เสมอ  งานจัดคลังสินค้าต่างๆ ให้เข้าที่ก็เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ไอ้ที่คนสั่งพูดพล่ามมาทั้งหมดน่ะมันมีเหตุผลที่เขาเถียงไม่ออกสักแอะ

แต่ถ้าไอ้คนสั่งมันเอาใจใส่ร้านขนาดนั้นทำไมมันไม่ลงมาทำเองบ้างล่ะว้อย!

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาซึ้งกับมันได้ยังไง!

นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเหลือบมามองด้วยแววตาที่รามีเอลสรุปได้คำเดียวว่ามัน ช่างดูชั่วร้ายสุดๆ  ก่อนคุณเจ้าของร้านจะเริ่มเอ่ยเสียงเย็นๆ อย่างเหนือกว่า

“วันนี้ฉันคงใช้งานนายหนักไปจนลืมไปซะสนิทเลยว่ามีอีกเรื่องที่ต้องสอน”  ว่าพลางคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อคนถูกใช้งานก่อนจะพาลากเข้าหลังร้าน  รามีเอลโวยวายปัดมืออีกฝ่ายออกโดยเร็ว  เจ้าของร้านเลยยิ่งหรี่ตาลงอย่างมาดร้าย  “ในฐานะที่ฉันเป็นพี่เลี้ยงนาย  แถมยังเป็นเจ้าของร้านอีกต่างหาก คงต้องสอนมารยาทนายกันแล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าตอนทำงานบริษัทนายเที่ยวยอกย้อนเจ้านายตัวเองแบบนี้”

คนถูกตำหนิสะอึกกึ๊ก  มองหน้าคนเป็นเจ้านายที่ดูยังไงก็ไม่น่าสุภาพด้วยสักนิดแล้วแย้งอย่างไม่ยอมแพ้
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้านายของฉันน่าสุภาพด้วยสักแค่ไหน”

คนฟังยิ้มร้ายแล้วเอามือเท้าฝาผนัง  “โฮ่… นายอาจจะไม่ชอบหน้าฉันเรื่องเมื่อเช้านะ แต่ยังไงตอนนี้ฉันกับนายก็เป็นเจ้านายกับลูกน้อง เจ้านายสั่งอะไรลูกน้องก็ต้องทำสิ”

ชิ…  รามีเอลได้แต่สบถอย่างเจ็บใจ  คิ้วขมวดมุ่น  ยกมือกุมขมับอย่างลำบากใจหนัก  ถึงแม้ไอ้คำพูดนั่นมันจะจริงก็เถอะ  แต่เขาล่ะเจ็บใจจริงๆ ที่ต้องเชื่อฟังคนอย่างหมอนี่  ไอ้ที่หาเรื่องแกล้งตลอดทั้งวันนี่มันยังไม่พอหรือไง  คิดไปปากก็ขยับเถียงอย่างอดไม่อยู่

“ฉันไม่ใช่ทาสหรือขี้ขาใครสักหน่อยจะได้ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง ถ้าเจ้านายสั่งลูกน้องต้องทำเสมอล่ะก็ ขืนนายสั่งให้ฉันไปตาย ฉันไม่ต้องวิ่งออกไปฆ่าตัวตายเรอะ  อย่าคิดนะว่าไอ้ที่หางานให้ฉันทำตลอดวันนี่ฉันจะไม่รู้นะว่านายแกล้ง”  ว่าแล้วคนถูกแกล้งก็ชีนิ้วจิ้มจึกๆ เข้าที่อกคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง  “คนที่เจ็บใจกับเรื่องเมื่อเช้าน่ะ มันนายมากกว่า ไม่ใช่ฉัน”

“นาย..”

“เมื่อเช้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”  เสียงทักขัดจังหวะดังมาจากด้านข้าง  เสียงนั้นเป็นของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินอมม่วง นัยน์ตาสีครามโผล่ออกมาจากประตูห้องครัว

“อินเว่”  เลออสเอ่ยชื่อชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนสายตาไปเห็นอีกสองคนที่อยู่ตรงประตูครัวกำลังทำหน้าสนใจกับสิ่ง ที่ได้ยินเมื่อครู่

“เอ…วันนี้มีอะไรที่ฉันพลาดไปรึเปล่า”  เจ้าของอีกเสียงเป็นชายร่างสูงผิวสีเข้ม  นัยน์ตาสีทองอร่ามของเจ้าของเต็มไปด้วยประกายความอยากรู้  ในมือยังถือกระบวยค้าง บ่งบอกว่าอยู่ในช่วงกำลังทำอาหาร  ชายหนุ่มคนนี้คือพ่อครัวอีกคนหนึ่งของคาเฟ่…ดราค โคโซโร่

“นั่นสินะ…”  อีกคนคือรูเม่ที่เอ่ยยิ้มๆ  แล้วหันมามองเลออสด้วยนัยน์ตาระยับอยากรู้ไม่แพ้คนข้างๆ  “ว่าไงเลออส …เมื่อเช้ามีเรื่องอะไรกับพี่รามีเอลหรือไง  หรือว่า…จะเกี่ยวกับที่วานีนรับพี่รามีเอลเข้ามาทำงาน?”

“ไม่ใช่หรอกน่า”  เลออสปฏิเสธเสียงเข้ม  นัยน์ตาส่อแววดุเมื่อเห็นลางซวยลอยอยู่รำไร  “พวกนายกลับไปทำงานได้แล้วไป๊  แล้วนาย…อินเว่ ทำไมมาอยู่ในครัว”

คนถูกทักยักไหล่น้อยๆ  “ก็มาหาอะไรกินน่ะสิ”

คราวนี้คุณเจ้าของร้านแยกเขี้ยววาววับ  “ครัวฉันไม่ใช่โรงอาหาร  อยากกินก็ออกไปซื้อกินข้าวนอกนู่น”  แล้วก็ชะงักกึก  เมื่อเจ้าเด็กตัวแสบบางคนมันยังไม่ชอบเลิกราปล่อยให้เรื่องที่อยากรู้ผ่านไป ง่ายๆ

“พี่รามีเอล  เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“หรือว่าไปแย่งจีบสาวของเจ้าเลออสมัน”  ดราคเริ่มตั้งข้อสังเกต ยกมือขึ้นมาจับคางอย่างใช้ความคิด  “เป็นไปได้”

นัยน์ตาสีครามของอินเว่เหลือบมองรามีเอลอย่างพินิจ แล้วว่า  “นายจะบ้าหรือเปล่า  รามีเอลเนี่ยนะจะจีบใคร  น่าจะโดนจีบมากกว่ามั้ง”

บทสนทนาที่พาเอาคนฟังอีกสองคนไม่รู้จะบอกยังไงดี  คนถูกถามกำลังกลืนล้ำลายเหนียวหนืดลงคอ  ฟังคำสันนิษฐานที่เดาถูกจนน่าตกใจ  ส่วนอีกคนกำลังอารมณ์ต่ำอย่างเห็นได้ชัด  สุดท้ายบทสนทนาของคนขี้สงสัยสามคนตรงหน้าก็ต่อไม่ติดเพราะเสียงอันหมดความอด ทนของคุณเจ้าของร้าน

“อินเว่ เอลลาโต้ รูเมน โบมาซัม ดราค โคโซโร่ พวกแกไสหัวไปทำงานได้แล้ว!”




เวลาประมาณสามทุ่มที่นั่งในโซดิแอคคาเฟ่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนจนรามีเอ ลต้องตกใจ  บาร์เหล้าเปิดให้บริการมาตั้งแต่ตอนหนึ่งทุ่มแล้ว  ลูกค้าที่เดินเข้าร้านส่วนใหญ่มักจะเป็นคนวัยทำงานที่ต้องการหาที่สังสรรค์ หลังการอยู่ทำงานในตอนกลางคืนอันเหนื่อยเหน็ด  ที่นั่งบริเวณเคาน์เตอร์บาร์เริ่มไม่ว่างตั้งแต่นั้น  วานีนเริ่มทำงานมือเป็นระวิงอยู่หลังบาร์  ถึงแม้บาร์เทนเดอร์หน้าสวยจะยิ้มระรื่นรับแขกตลอดเวลาก็เถอะ  อินเว่เองหลังจากเข้าไปหาอะไรกินในครัว(และโดนเลออสด่าเปิงกลับมารอบที่ สอง)ก็เริ่มประจำที่บริเวณเวทีในร้าน  นิ้วเรียวยาวบรรจงกดแป้นคีย์เปียโนหลังเดียวในร้าน  ก่อนจะบรรเลงบทเพลงอ่อนหวานละมุน

รูเม่และดราคที่อยู่ในครัวเองก็เริ่มวุ่นอยู่หน้าเตากับการปรุงอาหารเย็น ให้กับบรรดาลูกค้า  บริกรหนุ่ม…ฟรอสต์ เริ่มถือถาดอาหารเดินร่อนไปทั่วร้านจนดูขัดกับภาพลักษณ์ชายหนุ่มเงียบขรึม อย่างไรชอบกล  เจ้าตัวเพียงขยับยิ้มเพียงนิดเดียวเมื่อสาวพนักงานบริษัทคนหนึ่งโปรยยิ้มส่ง ให้  และที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือไอ้คุณเจ้าของร้านเสือผู้หญิงที่กำลังรินไวน์ เสิร์ฟสาวสวยคนหนึ่งถึงโต๊ะ  พร้อมยิ้มหวานส่งสายตาระริกผิดกับฟรอสต์ลิบลับ

“สำหรับผู้หญิงที่สวยที่สุดในร้านคืนนี้ครับ”  หยอดคำหวานเสร็จสรรพก็จะแย้มยิ้มพรายสยบใจสาวอีกรอบ

พ่อเจ้าประคุณ  นี่คิดว่าตัวเองเปิดร้านโฮสคลับอยู่หรือไง

ส่วนเขาน่ะหรือ…หลังจากได้เดินออกมาเสิร์ฟอาหารได้หน่อยเดียวก็ถูกไอ้เจ้าของร้านไล่กลับไปล้างจานอีกแล้ว

และหลังจากลงมือสะสางงานตัวเองไปได้สักพักก็รู้ซึ้งว่า…ไอ้งานเบ๊ที่ทำไป เมื่อเช้าอาจจะดีกว่างานล้างจานในครัวอยู่ก็เป็นได้  เพราะล้างไป ถึงจานจะค่อยๆ ลดลง  แต่อีกแป๊ปเดียวมันก็เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างน่าอัศจรรย์  ล้างเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหมดซักที  มือที่แช่น้ำยาล้างจานมาเกือบชั่วโมงไม่มีหยุดพักเริ่มเหี่ยวอย่างกับมือคน แก่  กลิ่นน้ำยาก็ลอยฟุ้งแตะจมูก  รู้สึกร้อนแต่ไม่มีเวลาจะใช้มือกระพือคอเสื้อคลายร้อนซักนาทีเพราะพายุจาน เพิ่มมาอย่างกับห่าลง

พระผู้เป็นเจ้า…ใครก็ได้ช่วยผลิตจานที่กินได้ขึ้นมาที งานคนล้างจานมันจะได้เบาลงกว่านี้หน่อย
แล้ววันนี้เขาจะต้องตายอยู่ท่ามกลางกองจานและน้ำยานี่หรือเปล่า

คิดพลางหันไปดูรูเม่ที่เหงื่อตกอยู่หน้าเตา  มือหนึ่งจับกระทะ อีกมือหนึ่งจับตะหลิว  สูดดมควันอาหารที่ลอยฟุ้งแล้วก็เริ่มปลอบใจตัวเองว่า

งานล้างจานยังดีที่ไม่มีกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า

เอาวะ

คิดได้เสร็จก็ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจปลงกับชะตาชีวิตตัวเอง ลงมือทำงานตรงหน้าอย่างตั้งใจ  แต่เสียงถอนหายใจนั่นก็ดังไปเข้าหูคนที่อยู่ในครัวด้วยกัน

“เหนื่อยหน่อยนะ”  ดราคเอ่ยทักแม้เจ้าตัวจะท่าทางเหนื่อยไม่แพ้กัน

“ผมกำลังสงสัยว่า ก่อนที่ผมจะมาทำงานใครเป็นคนล้างจานพวกนี้”

“จริงๆ แล้วก็ไม่มีหรอก  แต่ฟรอสต์…หมอนั่นมันทนความซกมกของอ่างล้างจานไม่ได้เลยต้องมาปวารณาตัวล้าง จานเองทุกที”  คำบอกเล่าของพ่อครัวผิวคมเข้มที่แย้มยิ้มบางๆ อย่างขำขัน  “นายมาอยู่ก็ดี จะได้ล้างจานแทนมัน”

“ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่กับน้ำยาล้างจานและสก็อตไบร์ทไปตลอดชีวิตการทำงานหรอกครับ”

“แต่มีคนอีกตั้งหลายคนที่มีชีวิตอยู่กับฝุ่นควันข้างนอกโดยไม่มีโอกาสจับ ไม้กวาดเป็นภารโรงด้วยซ้ำ”  คำย้อนของพ่อครัวหนุ่มทำให้รามีเอลต้องสะอึกอย่างรู้สึกผิดกับตัวเอง  “เอาแต่เลือกงาน แล้วเมื่อไหร่มันจะได้งานทำ”

“นั่นสินะครับ”  จำนนด้วยเหตุผล  เพราะเขาก็ไม่รู้ชะตาชีวิตตนเองเหมือนกันว่าหากวันนี้วานีนไม่ชวนเขาเข้ามา ทำงาน พรุ่งนี้เขาจะเป็นยังไง

เห็นท่าทีอย่างนั้นคนเป็นรุ่นพี่สอนงานเลยพูดปลอบ  “อย่ากังวลไปเลยน่า ยังไงนายก็ได้งานแล้วน่า  หลังเลิกงานวันนี้ฉลองรับน้องกันสักหน่อยดีกว่า”  เจ้าตัวเริ่มวางแผนการคลายเครียด ก่อนจะหันไปถามอีกคนที่วุ่นอยู่หน้าเตา แต่หูสดับฟังทุกคำพูด  “หรือนายว่ายังไง รูเม่”

“แจ๋ว! วันนี้เรามาก๊งกันเถอะ!”
 
ห๊ะ..

-To be Continued-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น