หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Zodiac Cafe’ : Chapter 3

Chapter 3: First Day


เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดัง ก่อนจะมาพร้อมเสียงทักทาย

“ยินดีต้อนรับครับ”

ผู้มาใหม่หันขวับไปมองต้นเสียงซึ่งยืนอยู่กลางร้านอย่างงงงัน  เห็นคนๆ หนึ่งในชุดพนักงานของร้านโซดิแอคคาเฟ่กำลังยืนถือไม้ถูพื้นอยู่กลางร้าน  ไม่ต้องถามก็รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ที่น่าสงสัยน่ะ…คือใบหน้าเนียนขาวติดหวานเล็กน้อยที่ส่งยิ้มมา  นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์สบมองอย่างเป็นมิตร  ผมสีทองยาวรวบขึ้นไปครึ่งศีรษะ  คำพูดที่ถ้าไม่สังเกตอาจไม่รู้เลยก็ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ชาย  แต่จะดูยังไง สำหรับเขา…คนๆ นี้ก็ไม่คุ้นตาสักนิด

“หมอนี่ใคร?”

ร่างในชุดนักศึกษาหันไปถามบาร์เทนเดอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด

“พนักงานใหม่”

“ห๊ะ…”  เสียงอุทานดังตามมา  รามีเอลยิ้มเจื่อนเมื่อนัยน์ตาต่างสีสบกัน  เพราะคำถามเมื่อครู่กับคำอุทานนั่นได้ยินมาเป็นรอบที่สามของวัน…

ครั้งแรกจากดราค โคโซโร่ พ่อครัวซึ่งมาประจำร้านตั้งแต่ตอนเที่ยง  ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในครัว  คนๆ นั้นพอเห็นหน้าเขาปุ๊บก็ทำสีหน้าคล้ายๆ ฟรอสต์ในตอนแรกคือการส่งคำถามทางสายตา  ทว่าแตกต่างกันตรงที่ดราคกลับออกปากถามด้วย

ครั้งที่สองจากอินเว่ เอลลาโต้ นักดนตรีประจำคาเฟ่ที่มาตั้งแต่ตอนห้าโมงเย็นหลังเลิกงาน  พ่อนักดนตรีคนนั้นยิ้มแย้มและดูท่าทางเป็นมิตรกับเขาดี

และครั้งที่สาม…ก็เด็กหนุ่มตรงหน้านี่แหละ

สีหน้าเด็กหนุ่มอายุอานามยี่สิบต้นๆ ส่อแววฉงนเต็มที่  จ้องมองพนักงานใหม่อย่างสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง  ส่วนมือไม้ก็เอาขึ้นมาเกาท้ายทอยยิกไปพลางระหว่างที่หัวสมองกำลังหาคำพูด

“นาย…”

“เขาชื่อรามีเอล เรมีอา  อายุมากกว่านาย รูเม่”  วานีนแถลงไถให้เสร็จสรรพ  ก่อนจะหันไปทางคนที่ยืนเอ๋ออยู่ในร้านอีกคนหนึ่ง  “รามีเอล  นี่รูเมน โบมาซัม เป็นรุ่นน้องน่ารักน่าชัง แล้วก็เป็นหุ้นส่วนของที่นี่”
“สวัสดีครับ”  รามีเอลยิ้มบาง

“ยินดีที่ได้รู้จัก”  อีกคนตอบพลางทำหน้าเอ๋อๆ แล้วหันหน้าไปหาคนที่ประจำอยู่ในบาร์  “นายคิดไงรับพนักงาน?”

รูเมน โบมาซัมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีสี่  มีเรือนผมสั้นสีส้ม และดวงตาสีมรกตตัดกันได้อย่างน่าดู  รูปร่างสมส่วนดูดีทว่าไม่สูงมากนักอยู่ในชุดนักศึกษา  แต่แม้อายุจะขึ้นเลขสอง  สำหรับรามีเอลแล้วดวงหน้าอ่อนเยาว์ดูดีของเจ้าตัวก็ทำให้อีกฝ่ายดูเด็กกว่า อายุนัก

“รับพนักงาน ก็คิดว่าจะให้มาทำงานน่ะสิ”  คนถูกถามตอบ  ส่งผลให้คนถามส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดใจ  นึกอยากยันโครมไอ้คนอาวุโสกว่า  ติดแต่ว่ามีเคาน์เตอร์กั้น

“เค้าถามอะไรก็ตอบดีๆ ไปซี่”  เสียงตำหนิจากฟรอสต์ที่เข้ามาช่วยหลังเคาน์เตอร์เพราะลูกค้าไม่เยอะนัก ทำให้คนถูกตำหนิหันไปแจกค้อนเป็นรางวัลที่คนที่ไม่อยากได้สักนิด

งอนอย่างกับเป็นผู้หญิง

ฟรอสต์คิด

“ฉันตอบดีๆ นะ  ก็จะให้มาทำงานจริงๆ”  อีกฝ่ายเถียง  แล้วหันไปโวยใส่รูเมนแทนอย่างหงุดหงิด  “ก็พวกนายมาเป็นเวล่ำเวลากันที่ไหน  ฉันก็ต้องหาคนช่วยสิ”

“เหอะๆ”  เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างเซ็งๆ  แล้วหันไปจับมือกับพนักงานใหม่  “ยินดีที่ได้รู้จักนะ  ผมเป็นพ่อครัวของที่นี่  ถ้าพี่มีอะไรก็ถามผมได้”

“ครับ”  คนอายุมากกว่า  แต่ระดับอายุการทำงานต่ำกว่าเอ่ยรับสุภาพอย่างเคยชิน  จนคนฟังชะงักไปแล้วยิ้มน้อยๆ

“ไม่ต้องสุภาพกับผมนักก็ได้  แล้วก็เรียกผมว่า รูเม่ แล้วกันนะ”

รามีเอลรับคำแล้วไม่พูดอะไรนอกจากยิ้ม  ส่วนเด็กหนุ่มก็หายเข้าหลังร้านไป

“โอ๊ะโอ๋…”  แว่วเสียงกระเซ้าเหย้าแหย่จากคนที่กำลังเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขก  คุณเจ้าของร้านเสือผู้หญิงเดินผ่านมาได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าพอดิบพอดี  เจ้าตัวเดินเข้ามาแล้วเอ่ยสัพยอก  “หายากนะเนี่ยที่เจ้าเด็กอวดดีนั่นจะพูดสุภาพกับคนอื่น  ปกติเห็นดีแต่กวนส้นเท้าชาวบ้าน”

คนฟังถอนหายใจน้อยๆ  แล้วเอ่ยเสียงเรียบ  “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เขารู้จักคำว่ามารยาทน่ะ  อย่างน้อยก็อาจจะดีกว่าใครบางคนแถวนี้ที่แกล้งคนอื่นด้วยการใช้แรงงาน”

หนึ่งวันกับการทำงานที่โซดิแอคคาเฟ่ทำให้เขาซึ้งเข้าไปถึงขั้วหัวใจกับคำ ว่า ‘เบ๊’ เมื่อคุณเจ้าของร้านตัวดีเล่นใช้แรงงานเขาไม่มีหยุด  เริ่มต้นตั้งแต่ใช้ให้จัดโต๊ะให้สวย อ้างว่าเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าควรจะมีดอกไม้วางประดับอยู่ทุกโต๊ะ ใช้ให้เขาไปซื้อดอกไม้มาประดับ  งานขัดห้องน้ำให้เงาวับเพื่อสร้างความสบายใจให้แก่ลูกค้าเวลาทำธุระส่วน ตั๊วส่วนตัวในส้วม  งานรดน้ำต้นไม้ข้างนอกให้สดชื่นเพื่อให้ลูกค้าชื่นชมว่าร้านนี้เอาใจใส่แก่ สิ่งมีชีวิตทุกประเภท  งานเช็ดกระจกให้ใสปิ๊งเพื่อให้แสงอาทิตย์ที่มันกระทบกระจกจะได้สาดสะท้อน เข้านัยน์ตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้หันมาสนใจ  งานปัดกวาดเช็ดถูหยากไย่หลังร้านก็เพื่อให้ร้านดูสะอาดอยู่เสมอ  งานจัดคลังสินค้าต่างๆ ให้เข้าที่ก็เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ไอ้ที่คนสั่งพูดพล่ามมาทั้งหมดน่ะมันมีเหตุผลที่เขาเถียงไม่ออกสักแอะ

แต่ถ้าไอ้คนสั่งมันเอาใจใส่ร้านขนาดนั้นทำไมมันไม่ลงมาทำเองบ้างล่ะว้อย!

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาซึ้งกับมันได้ยังไง!

นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเหลือบมามองด้วยแววตาที่รามีเอลสรุปได้คำเดียวว่ามัน ช่างดูชั่วร้ายสุดๆ  ก่อนคุณเจ้าของร้านจะเริ่มเอ่ยเสียงเย็นๆ อย่างเหนือกว่า

“วันนี้ฉันคงใช้งานนายหนักไปจนลืมไปซะสนิทเลยว่ามีอีกเรื่องที่ต้องสอน”  ว่าพลางคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อคนถูกใช้งานก่อนจะพาลากเข้าหลังร้าน  รามีเอลโวยวายปัดมืออีกฝ่ายออกโดยเร็ว  เจ้าของร้านเลยยิ่งหรี่ตาลงอย่างมาดร้าย  “ในฐานะที่ฉันเป็นพี่เลี้ยงนาย  แถมยังเป็นเจ้าของร้านอีกต่างหาก คงต้องสอนมารยาทนายกันแล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าตอนทำงานบริษัทนายเที่ยวยอกย้อนเจ้านายตัวเองแบบนี้”

คนถูกตำหนิสะอึกกึ๊ก  มองหน้าคนเป็นเจ้านายที่ดูยังไงก็ไม่น่าสุภาพด้วยสักนิดแล้วแย้งอย่างไม่ยอมแพ้
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้านายของฉันน่าสุภาพด้วยสักแค่ไหน”

คนฟังยิ้มร้ายแล้วเอามือเท้าฝาผนัง  “โฮ่… นายอาจจะไม่ชอบหน้าฉันเรื่องเมื่อเช้านะ แต่ยังไงตอนนี้ฉันกับนายก็เป็นเจ้านายกับลูกน้อง เจ้านายสั่งอะไรลูกน้องก็ต้องทำสิ”

ชิ…  รามีเอลได้แต่สบถอย่างเจ็บใจ  คิ้วขมวดมุ่น  ยกมือกุมขมับอย่างลำบากใจหนัก  ถึงแม้ไอ้คำพูดนั่นมันจะจริงก็เถอะ  แต่เขาล่ะเจ็บใจจริงๆ ที่ต้องเชื่อฟังคนอย่างหมอนี่  ไอ้ที่หาเรื่องแกล้งตลอดทั้งวันนี่มันยังไม่พอหรือไง  คิดไปปากก็ขยับเถียงอย่างอดไม่อยู่

“ฉันไม่ใช่ทาสหรือขี้ขาใครสักหน่อยจะได้ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง ถ้าเจ้านายสั่งลูกน้องต้องทำเสมอล่ะก็ ขืนนายสั่งให้ฉันไปตาย ฉันไม่ต้องวิ่งออกไปฆ่าตัวตายเรอะ  อย่าคิดนะว่าไอ้ที่หางานให้ฉันทำตลอดวันนี่ฉันจะไม่รู้นะว่านายแกล้ง”  ว่าแล้วคนถูกแกล้งก็ชีนิ้วจิ้มจึกๆ เข้าที่อกคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง  “คนที่เจ็บใจกับเรื่องเมื่อเช้าน่ะ มันนายมากกว่า ไม่ใช่ฉัน”

“นาย..”

“เมื่อเช้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”  เสียงทักขัดจังหวะดังมาจากด้านข้าง  เสียงนั้นเป็นของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินอมม่วง นัยน์ตาสีครามโผล่ออกมาจากประตูห้องครัว

“อินเว่”  เลออสเอ่ยชื่อชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนสายตาไปเห็นอีกสองคนที่อยู่ตรงประตูครัวกำลังทำหน้าสนใจกับสิ่ง ที่ได้ยินเมื่อครู่

“เอ…วันนี้มีอะไรที่ฉันพลาดไปรึเปล่า”  เจ้าของอีกเสียงเป็นชายร่างสูงผิวสีเข้ม  นัยน์ตาสีทองอร่ามของเจ้าของเต็มไปด้วยประกายความอยากรู้  ในมือยังถือกระบวยค้าง บ่งบอกว่าอยู่ในช่วงกำลังทำอาหาร  ชายหนุ่มคนนี้คือพ่อครัวอีกคนหนึ่งของคาเฟ่…ดราค โคโซโร่

“นั่นสินะ…”  อีกคนคือรูเม่ที่เอ่ยยิ้มๆ  แล้วหันมามองเลออสด้วยนัยน์ตาระยับอยากรู้ไม่แพ้คนข้างๆ  “ว่าไงเลออส …เมื่อเช้ามีเรื่องอะไรกับพี่รามีเอลหรือไง  หรือว่า…จะเกี่ยวกับที่วานีนรับพี่รามีเอลเข้ามาทำงาน?”

“ไม่ใช่หรอกน่า”  เลออสปฏิเสธเสียงเข้ม  นัยน์ตาส่อแววดุเมื่อเห็นลางซวยลอยอยู่รำไร  “พวกนายกลับไปทำงานได้แล้วไป๊  แล้วนาย…อินเว่ ทำไมมาอยู่ในครัว”

คนถูกทักยักไหล่น้อยๆ  “ก็มาหาอะไรกินน่ะสิ”

คราวนี้คุณเจ้าของร้านแยกเขี้ยววาววับ  “ครัวฉันไม่ใช่โรงอาหาร  อยากกินก็ออกไปซื้อกินข้าวนอกนู่น”  แล้วก็ชะงักกึก  เมื่อเจ้าเด็กตัวแสบบางคนมันยังไม่ชอบเลิกราปล่อยให้เรื่องที่อยากรู้ผ่านไป ง่ายๆ

“พี่รามีเอล  เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“หรือว่าไปแย่งจีบสาวของเจ้าเลออสมัน”  ดราคเริ่มตั้งข้อสังเกต ยกมือขึ้นมาจับคางอย่างใช้ความคิด  “เป็นไปได้”

นัยน์ตาสีครามของอินเว่เหลือบมองรามีเอลอย่างพินิจ แล้วว่า  “นายจะบ้าหรือเปล่า  รามีเอลเนี่ยนะจะจีบใคร  น่าจะโดนจีบมากกว่ามั้ง”

บทสนทนาที่พาเอาคนฟังอีกสองคนไม่รู้จะบอกยังไงดี  คนถูกถามกำลังกลืนล้ำลายเหนียวหนืดลงคอ  ฟังคำสันนิษฐานที่เดาถูกจนน่าตกใจ  ส่วนอีกคนกำลังอารมณ์ต่ำอย่างเห็นได้ชัด  สุดท้ายบทสนทนาของคนขี้สงสัยสามคนตรงหน้าก็ต่อไม่ติดเพราะเสียงอันหมดความอด ทนของคุณเจ้าของร้าน

“อินเว่ เอลลาโต้ รูเมน โบมาซัม ดราค โคโซโร่ พวกแกไสหัวไปทำงานได้แล้ว!”




เวลาประมาณสามทุ่มที่นั่งในโซดิแอคคาเฟ่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนจนรามีเอ ลต้องตกใจ  บาร์เหล้าเปิดให้บริการมาตั้งแต่ตอนหนึ่งทุ่มแล้ว  ลูกค้าที่เดินเข้าร้านส่วนใหญ่มักจะเป็นคนวัยทำงานที่ต้องการหาที่สังสรรค์ หลังการอยู่ทำงานในตอนกลางคืนอันเหนื่อยเหน็ด  ที่นั่งบริเวณเคาน์เตอร์บาร์เริ่มไม่ว่างตั้งแต่นั้น  วานีนเริ่มทำงานมือเป็นระวิงอยู่หลังบาร์  ถึงแม้บาร์เทนเดอร์หน้าสวยจะยิ้มระรื่นรับแขกตลอดเวลาก็เถอะ  อินเว่เองหลังจากเข้าไปหาอะไรกินในครัว(และโดนเลออสด่าเปิงกลับมารอบที่ สอง)ก็เริ่มประจำที่บริเวณเวทีในร้าน  นิ้วเรียวยาวบรรจงกดแป้นคีย์เปียโนหลังเดียวในร้าน  ก่อนจะบรรเลงบทเพลงอ่อนหวานละมุน

รูเม่และดราคที่อยู่ในครัวเองก็เริ่มวุ่นอยู่หน้าเตากับการปรุงอาหารเย็น ให้กับบรรดาลูกค้า  บริกรหนุ่ม…ฟรอสต์ เริ่มถือถาดอาหารเดินร่อนไปทั่วร้านจนดูขัดกับภาพลักษณ์ชายหนุ่มเงียบขรึม อย่างไรชอบกล  เจ้าตัวเพียงขยับยิ้มเพียงนิดเดียวเมื่อสาวพนักงานบริษัทคนหนึ่งโปรยยิ้มส่ง ให้  และที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือไอ้คุณเจ้าของร้านเสือผู้หญิงที่กำลังรินไวน์ เสิร์ฟสาวสวยคนหนึ่งถึงโต๊ะ  พร้อมยิ้มหวานส่งสายตาระริกผิดกับฟรอสต์ลิบลับ

“สำหรับผู้หญิงที่สวยที่สุดในร้านคืนนี้ครับ”  หยอดคำหวานเสร็จสรรพก็จะแย้มยิ้มพรายสยบใจสาวอีกรอบ

พ่อเจ้าประคุณ  นี่คิดว่าตัวเองเปิดร้านโฮสคลับอยู่หรือไง

ส่วนเขาน่ะหรือ…หลังจากได้เดินออกมาเสิร์ฟอาหารได้หน่อยเดียวก็ถูกไอ้เจ้าของร้านไล่กลับไปล้างจานอีกแล้ว

และหลังจากลงมือสะสางงานตัวเองไปได้สักพักก็รู้ซึ้งว่า…ไอ้งานเบ๊ที่ทำไป เมื่อเช้าอาจจะดีกว่างานล้างจานในครัวอยู่ก็เป็นได้  เพราะล้างไป ถึงจานจะค่อยๆ ลดลง  แต่อีกแป๊ปเดียวมันก็เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างน่าอัศจรรย์  ล้างเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหมดซักที  มือที่แช่น้ำยาล้างจานมาเกือบชั่วโมงไม่มีหยุดพักเริ่มเหี่ยวอย่างกับมือคน แก่  กลิ่นน้ำยาก็ลอยฟุ้งแตะจมูก  รู้สึกร้อนแต่ไม่มีเวลาจะใช้มือกระพือคอเสื้อคลายร้อนซักนาทีเพราะพายุจาน เพิ่มมาอย่างกับห่าลง

พระผู้เป็นเจ้า…ใครก็ได้ช่วยผลิตจานที่กินได้ขึ้นมาที งานคนล้างจานมันจะได้เบาลงกว่านี้หน่อย
แล้ววันนี้เขาจะต้องตายอยู่ท่ามกลางกองจานและน้ำยานี่หรือเปล่า

คิดพลางหันไปดูรูเม่ที่เหงื่อตกอยู่หน้าเตา  มือหนึ่งจับกระทะ อีกมือหนึ่งจับตะหลิว  สูดดมควันอาหารที่ลอยฟุ้งแล้วก็เริ่มปลอบใจตัวเองว่า

งานล้างจานยังดีที่ไม่มีกลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า

เอาวะ

คิดได้เสร็จก็ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจปลงกับชะตาชีวิตตัวเอง ลงมือทำงานตรงหน้าอย่างตั้งใจ  แต่เสียงถอนหายใจนั่นก็ดังไปเข้าหูคนที่อยู่ในครัวด้วยกัน

“เหนื่อยหน่อยนะ”  ดราคเอ่ยทักแม้เจ้าตัวจะท่าทางเหนื่อยไม่แพ้กัน

“ผมกำลังสงสัยว่า ก่อนที่ผมจะมาทำงานใครเป็นคนล้างจานพวกนี้”

“จริงๆ แล้วก็ไม่มีหรอก  แต่ฟรอสต์…หมอนั่นมันทนความซกมกของอ่างล้างจานไม่ได้เลยต้องมาปวารณาตัวล้าง จานเองทุกที”  คำบอกเล่าของพ่อครัวผิวคมเข้มที่แย้มยิ้มบางๆ อย่างขำขัน  “นายมาอยู่ก็ดี จะได้ล้างจานแทนมัน”

“ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่กับน้ำยาล้างจานและสก็อตไบร์ทไปตลอดชีวิตการทำงานหรอกครับ”

“แต่มีคนอีกตั้งหลายคนที่มีชีวิตอยู่กับฝุ่นควันข้างนอกโดยไม่มีโอกาสจับ ไม้กวาดเป็นภารโรงด้วยซ้ำ”  คำย้อนของพ่อครัวหนุ่มทำให้รามีเอลต้องสะอึกอย่างรู้สึกผิดกับตัวเอง  “เอาแต่เลือกงาน แล้วเมื่อไหร่มันจะได้งานทำ”

“นั่นสินะครับ”  จำนนด้วยเหตุผล  เพราะเขาก็ไม่รู้ชะตาชีวิตตนเองเหมือนกันว่าหากวันนี้วานีนไม่ชวนเขาเข้ามา ทำงาน พรุ่งนี้เขาจะเป็นยังไง

เห็นท่าทีอย่างนั้นคนเป็นรุ่นพี่สอนงานเลยพูดปลอบ  “อย่ากังวลไปเลยน่า ยังไงนายก็ได้งานแล้วน่า  หลังเลิกงานวันนี้ฉลองรับน้องกันสักหน่อยดีกว่า”  เจ้าตัวเริ่มวางแผนการคลายเครียด ก่อนจะหันไปถามอีกคนที่วุ่นอยู่หน้าเตา แต่หูสดับฟังทุกคำพูด  “หรือนายว่ายังไง รูเม่”

“แจ๋ว! วันนี้เรามาก๊งกันเถอะ!”
 
ห๊ะ..

-To be Continued-

Zodiac Cafe’ : Chapter 2

Chapter 2:  Responsibility

“ครึ่งวันแรกคาเฟ่ของเราจะเปิดเป็นร้านอาหารธรรมดา ส่วนตอนเย็นเราถึงจะเริ่มเปิดบาร์  ช่วงเช้าน่ะคงยังไม่ค่อยมีคนมานัก  แต่ตอนกลางวันระวังให้ดีนะครับ  พวกพนักงานบริษัทแถวนี้จะเริ่มแห่มาทานอาหารร้านเรากัน”  รามีเอลปล่อยให้คำบอกเล่าของวาเนลอส เอนวารันย่าหรือชายหน้าหวานผู้มีชื่อย่อๆ ว่า ‘วานีน’ ไหลผ่านหูไป  ตอนนี้เขาเปลี่ยนชุดเป็นชุดพนักงานร้านนี้เรียบร้อยแล้วและกำลังสาละวนอยู่ กับการล้างจานกองมหึมาข้างหน้าให้เสร็จก่อนลูกค้าช่วงเที่ยงวันจะมา

…ทดลองงานด้วยการล้างจาน

มีจานใบที่ตัวเองเพิ่งจะทานไปเมื่อครู่อีกต่างหาก

ยังจำได้หลังจากวานีนลากตัวเขาเข้ามาหลังร้านแล้วชี้ให้ดูกองจานที่ต้อง ล้างให้เสร็จ …งานหลังร้านที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ลงมาจับมันจริงๆ ความรู้สึกราวกับเป็นลูกค้าที่กินแล้วไม่มีเงินจ่าย ต้องชดใช้ด้วยแรงงานและร่างกายเหมือนในการ์ตูนอย่างไรอย่างนั้น

“ร้านเราเปิดบริการตอนเจ็ดโมงเช้าถึงเที่ยงคืน  ท่านเจ้าของร้านจะซุกหัวนอนอยู่ชั้นบนของร้านไม่หายไปไหน ดังนั้นถ้าวันไหนคุณมาเช้ามากๆ หรือตอนกลางดึกต้องการความช่วยเหลือก็มากดกริ่งประตูร้านเรียกเขาได้เสมอ”

คุณหุ้นส่วนรายใหญ่ของคาเฟ่แจกแจงแถลงไถด้วยรอยยิ้มอย่างหวังดีระหว่าง ช่วยพนักงานใหม่เรียงจานที่ล้างเสร็จแล้วให้เข้าที่  แต่คนฟังก็ยังไม่เห็นเหตุผลว่าเขาจะลุกขึ้นมาขอความช่วยเหลือเจ้าของร้านตอน ดึกๆ ไปทำไม

“ไม่ต้องอธิบายละเอียดขนาดนั้นก็ได้ ผมยังไม่รับปากเสียหน่อยว่าจะมาทำงานที่ร้านนี้”

วานีนยิ้มกับประโยคนั้นอย่างไม่เดือดร้อน  “แล้วคุณมีที่ไปหรือ”

พอได้ยินประโยคนี้คนฟังถึงกับถอนหายใจแล้วละงานที่ทำอยู่ชั่วคราว  รามีเอลหันไปมองบาร์เทนเดอร์หน้าสวย แล้วเห็นดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายราวกับเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่ายังไงเขาก็ ต้องลงหลักปักฐานที่นี่เป็นแน่

“บริษัทในประเทศมีเยอะแยะถมไป”

“อาจไม่เยอะในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้”  คู่สนทนาติงด้วยความจริงที่ทำให้คนฟังต้องสะอึก  แล้วแอบถอนใจเฮือกอยู่ในอก  …คนๆ นี้เล่นด้วย…ยาก

“สุดท้ายคุณก็ไม่พ้นล้างจานในร้านอาหารอยู่ดี เชื่อผมสิ”  วานีนพูดอีกครั้งพลางขยิบตาอย่างน่ารักน่าชังในสายตาของคนมอง  ชายหนุ่มหันกลับมายังกองจานตรงหน้าอย่างเซ็งจัดแล้วคว้ามันขึ้นมาล้างต่อ  พลางพูดอย่างยอมรับ

“อา…คงจริง”  วานีนยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายจนมุมในที่สุด  “จะว่าไป…คุณบอกว่าตอนกลางวันลูกค้าจะเยอะสินะ  แต่คุณมีกันอยู่สองคนแล้วคุณจัดการกับลูกค้ายังไง”

คนถูกถามนั่งพิงกับเคาน์เตอร์ครัวพลางกอดอกอธิบาย  “จริงๆ แล้วนอกจากผมกับเลออสก็ยังมีอีกเก้าคนที่เป็นหุ้นส่วนกับเรา  แล้วเราก็มีพ่อครัวประจำที่จะว่างมาเฉพาะช่วงกลางวันและช่วงเย็นเท่านั้น  ดังนั้นผมกับเลออสก็รับมือไม่ลำบากเท่าไหร่  ส่วนช่วงเช้าเราจะขายเฉพาะอาหารเช้าเบาๆ ที่ผมกับเลออสทำได้ ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร”

รามีเอลขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับประโยคเมื่อครู่

“เดี๋ยวนะ… คุณบอกว่าร้านเล็กๆ แบบนี้กลับมีหุ้นส่วนตั้งสิบเอ็ดคนงั้นหรือ!?”

“เป็นคนรู้จักกันลงขันกันทำน่ะ โดยคุณเจ้าของร้านเป็นตัวตั้งตัวตี”  คำอธิบายของวานีนทำให้ร่างบางต้องวางมือจากงานที่ทำอยู่อีกครั้งเพราะความ อยากรู้อยากเห็น

“เจ้าเสือผู้หญิงนั่นเป็นคนต้นคิด แต่คุณกลับเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดเนี่ยนะ …ตลกดี”  เขาตั้งข้อสังเกตพลางหัวเราะหึๆ ไม่เกรงกลัวที่จะใช้สรรพนามเรียกแทนเจ้าของร้านด้วยความเคารพรัก  ส่วนคนฟังเองก็ไม่ได้คิดจะทักท้วงแต่อย่างใด

“มันง่ายน่ะถ้าเขาจะส่งต่อร้านให้ผม”  บาร์เทนเดอร์หนุ่มเกี่ยวเส้นผมที่ยาวจนถึงเอวของตนขึ้นมาม้วนเล่นอย่างไม่มี อะไรทำ  คิ้วสีอ่อนขมวดเข้าหากันน้อยๆ  “หมอนั่นเป็นคนไม่จริงจังกับอะไรเท่าไหร่  ตอนชวนทำร้านนี้ก็เหมือนกัน  ตอนนั้นมันมีเงินไม่พอจะเช่าตึกด้วยซ้ำ  คิดแล้วน่าหงุดหงิดจริงๆ”

รามีเอลหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นแววความหงุดหงิดบนใบหน้าสวยหวานของคู่ สนทนา  ก่อนจะซักต่ออย่างนึกสนุก  เรื่องความเป็นมาของคาเฟ่แห่งนี้น่าสนใจดีไม่หยอก

“แล้วอะไรทำให้พวกคุณลงทุนตามเขาไปล่ะ”

แล้วคนข้างตัวกระตุกยิ้ม  “มันน่าสนุกน่ะสิ”

“หา…”

ไม่ทันได้อึ้งต่อ  เสียงกระดิ่งประตูร้านก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากพนักงานร้านทั้งสองไป  พวกเขาได้ยินเสียงเลออสกำลังพูดกับใครบางคน  ไม่นานเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็เข้ามาใกล้หลังร้าน  เลออสผลักประตูเล็กโผล่เข้ามา  คุณเจ้าของร้านกำลังแบกกระสอบอะไรสักอย่างบนไหล่ข้างหนึ่ง  นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงปรายมาที่รามีเอลเล็กน้อย  ยังอดขุ่นเคืองอีกฝ่ายเล็กๆ ในใจไม่ได้  ก่อนจะเบือนหนีหันไปยังตู้เย็นเหล็กขนาดใหญ่  ชายหนุ่มดึงช่องด้านล่างออกมาก่อนจะเทของในกระสอบลงไปแช่เย็น

“ฟรอสต์มาแล้วเหรอ”  วานีนถามขึ้นเมื่อเห็นของในตู้ที่เพิ่งเทลงไป

เลออสยังไม่ทันตอบ เช่นเดียวกับรามีเอลที่ยังไม่ทันได้ถามว่าใครคือฟรอสต์ คำตอบของเขาก็เดินเข้ามาหลังร้าน  นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์สะท้อนภาพชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินแบกกระสอบตามเข้า มา  เรือนผมสั้นสีเงินยวงช่วยขับให้ผิวขาวสะอาดสะอ้านดูโดดเด่น  นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างทว่าดูเข้มและลึกล้ำกว่าของวานีนหันมาสบตาเขาอย่างไม่ ตั้งใจ  แล้วเผยแววแปลกใจน้อยๆ ที่เห็นคนไม่คุ้นหน้าอยู่ในร้าน  เสียแต่ดวงหน้าคมคายนั้นค่อนข้างดูจะไร้อารมณ์อยู่สักหน่อย

“ฉันเอาน้ำแข็งมาส่ง”  เสียงทุ้มลึกเอ่ยเรียบๆ

“อรุณสวัสดิ์”  วานีนยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปรับกระสอบน้ำแข็งมาจากร่างสูงมาเทใส่ตู้

ฟรอสต์ยังคงสบตากับชายหนุ่มร่างบางผมสีทองยาวสลวยซึ่งเขามั่นใจเหลือเกิน ว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนอย่างแปลกใจ  เลออสมองทั้งสองคนไปมาก่อนจะกระแอมอย่างเสียมิได้  ขืนไม่อธิบาย  ปล่อยให้มองหน้ากันต่อไปไม่ต้องทำอะไรกันพอดี

“วันนี้เราได้พนักงานเข้ามาใหม่น่ะ  นี่รามีเอล เรมีอา  รามีเอล นี่ฟรอสต์ เซลาดอน เพื่อนร่วมงานของนาย”

“ยินดีที่ได้รู้จัก”  ฟรอสต์กล่าวพลางยื่นมือออกมา ทำให้รามีเอลต้องรีบเปิดน้ำล้างมือแล้วเอื้อมมาจับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

“เช่นกันครับ”

มือของฟรอสต์เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง …ก็แน่สิ เพิ่งจะแบกน้ำแข็งมานี่นา

“โอ๊ย!” เลออสร้องเสียงหลงเมื่อผมที่รวบอยู่ด้านหลังถูกใครบางคนดึงซะสุดแรง  นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงหันไปมองคนประทุษร้ายเบื้องหลัง เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของผู้ต้องหาเป็นสิ่งแรก  คุณเจ้าของร้านแยกเขี้ยวแล้วเอ่ยประชด  “คุณหุ้นส่วนรายใหญ่มีปัญหาอะไรกับกระผมอีกไม่ทราบ”

“ก็นายพูดลดขั้นฟรอสต์ทำไมเล่า”  วานีนอ้างทันควัน  บาร์เทนเดอร์หน้าหวานหันกลับไปยังรามีเอลที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างงุนงง  แล้วอธิบาย  “หมอนี่น่ะเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านเรา  เป็นลูกชายเจ้าของโรงน้ำแข็งที่อุปถัมภ์ค้ำจุนโซดิแอคคาเฟ่เลยนะ”  พูดพลางเคลื่อนกายเข้าใกล้คนที่ว่า  แล้วยกศอกขึ้นพักบนไหล่ร่างสูงอย่างสนิทสนม

ฟรอสต์ปรายตามองคนข้างตัวเล็กน้อย  อันที่จริงเขาไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่อีกฝ่ายจะต้องแนะนำเขาซะเต็มยศขนาดนั้น  ในเมื่อสุดท้ายหุ้นส่วนทุกคนในร้านก็ต้องลงมาทำงานจิปาถะเป็นมนุษย์กินเงิน เดือนในร้านคาเฟ่เหมือนกันอยู่ดี  อ้อ…ยกเว้นไว้สักคนสองคนแล้วกัน

“ให้ตายเถอะ”  แว่วเสียงเลออสสบถอย่างหงุดหงิด  ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะดังแว่วเข้าหูจากใครบางคนไม่ใกล้ไม่ไกล…

หมอนั่นต้องโดนเจ้าตัวยุ่งข้างๆ เขาแกล้งเอาแน่ ถึงได้ดูอารมณ์เสียแต่เช้า

ฟรอสต์คิดในใจพลางส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหันกลับมาจับจ้องพนักงานคนใหม่ของร้านที่กำลังจ้องพวกเขาตาแป๋ว

“ทำงานกันเถอะ”  นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ฟรอสต์พูดก่อนจะขยับตัวเดินไปยังอีกส่วนของหลังร้าน ซึ่งไว้เป็นที่ตั้งล็อกเกอร์สำหรับพนักงานทุกคน  ชายหนุ่มไขกุญแจล็อกเกอร์ของตนแล้วเริ่มเปลี่ยนชุด

“นั่นสินะ”  วานีนอมยิ้มเห็นดีเห็นงามด้วย  “เลออส ฝากนายเป็นพี่เลี้ยงจัดการสั่งงานรามีเอลด้วย ฉันจะไปดูหน้าร้านซะหน่อย”

คนถูกโบ้ยงานนิ่งค้างระหว่างที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มผลักประตูเล็กออกไป แล้ว  รามีเอลเองก็ยืนกะพริบตาปริบๆ มองตามไป  ได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้องอยู่ในใจด้วยความอึดอัดที่ถูกทิ้งให้อยู่กับคนที่ จีบเพิ่งตนไปหมาดๆ  ชายหนุ่มเหลือบมองคุณเจ้าของร้านแว่บหนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อ เมื่อใบหน้าคมคายนั้นหันมา

“ให้ตายเถอะ”  เลออสสบถเป็นรอบที่สองของวัน  หวังในใจว่าอย่าให้มีรอบที่สาม  ไม่อย่างนั้นเขาจะขึ้นไปหยิบยาบรรเทาปวดมากินแก้เครียดให้รู้แล้วรู้รอด  ชายหนุ่มคิดพลางมองตัวปัญหาตรงหน้าซึ่งกำลังตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้น คนเป็นพี่เลี้ยงงานจำเป็นก็เข้าไปยืนข้างๆ

“มีงานอะไรที่ฉันต้องรู้อีกก็ว่ามา”  รามีเอลเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน  อย่างน้อยการทำตัวเป็นลูกจ้างที่ดีก็อาจจะทำให้เราเข้าหน้าคนที่ไม่ถูกขี้ หน้าได้ง่ายขึ้น  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยลองทำ เพราะไม่เคยมีปัญหากับคนในบริษัทสักคนสักครั้งก็เถอะ

แต่กับหมอนี่ต้องละไว้เป็นพิเศษ

เสียงถอนหายใจดังแผ่ว  “นั่นสินะ… ก่อนอื่นก็ต้อง…”  เลออสว่าพลางสาวเท้าเข้าไปทางด้านหลังของเด็กไม่รู้งาน  เอื้อมมือใหญ่ไปสัมผัสเส้นผมสลวยเบื้องหน้ารวบเข้าไว้ด้วยกันอย่างไม่มี บอกกล่าวจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง  แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ  “ก่อนอื่นก็ต้องจัดการกับผมของนายก่อน  จะมาทำงานอยู่ในครัว แต่ปล่อยรุงรังอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน”

“…โอเคๆ”  รามีเอลรับเสียงอ่อยในความไม่ระวังของตัวเอง  “คราวหลังฉันจะระวัง”

คุณเจ้าของร้านถอนหายใจระหว่างหายางเส้นหนึ่งมามัดผมให้เด็กใหม่ผู้ไม่ รู้งานด้วยสำนึกความเป็นพี่เลี้ยงที่ดี  เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเจ้าหุ้นส่วนรายใหญ่หาเรื่องกระแนะกระแหนด้วยความรัก  วานีนเป็นชายหนุ่มหน้าหวานที่โปรยยิ้มใจดีกับลูกค้าทุกคนที่เข้าร้าน  แต่กับพวกที่รู้จักมักจี่กันมานานนม คุณบาร์เทนเดอร์แสนสวยแทบจะเรียกได้ว่าเป็นปีศาจในคราบนางฟ้า  รักการแกล้งคนเป็นชีวิตจิตใจ  และรักสนุกพอๆ กับที่รักเส้นผมของตัวเอง

ฟรอสต์เดินออกมาหลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อย  ร่างสูงไม่ได้ใส่สูทบริกรอย่างที่เลออสและวานีนใส่เพราะเขาค่อนข้างจะรำคาญ กับมัน  แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นจนถึงข้อศอกเพื่อความสะดวกในการทำงาน  ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย  คิ้วขมวดมุ่นมีแววยุ่งยากใจบางอย่าง

เป็นภาพแปลกดีที่เห็นเลออสกำลังรวบเผ้าผมให้คนอื่น

เห็นคนที่กำลังล้างจานทำหน้าหงอยในความผิดพลาดของตัวเองแล้วย้อนกลับมา มองคุณเจ้าของร้านอีกรอบ  ภาพตรงหน้าก็เหมือนกับ…เด็กประถมกับพี่เลี้ยง

ร่างสูงกระตุกยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาทั้งสอง  ก่อนจะเปรย  “น่าแปลกใจที่วานีนรับพนักงานใหม่”

คนฟังทั้งสองหันมาสนใจเขาในทันใด  เลออสทำสีหน้าปั้นยากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า  และใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะสะบัดมันออกไปจากหัว

“อ่า… ฉันก็ไม่รู้สิ อยู่ๆ มันก็เอ่ยปากชวนเจ้านี่มาทำงาน”

‘เจ้านี่’ รามีเอลทวนสรรพนามอันไพเราะนั้นไว้ในใจ  อย่างน้อยก็ฟังดูดีกว่า ‘ไอ้เจ้าของร้านเสือผู้หญิง’ ที่เขาตั้งให้อีกฝ่ายล่ะนะ

“เห็นเขาบอกว่าอยากได้คนช่วยเวลาร้านวุ่นๆ”  ผู้เป็นต้นเหตุแห่งความสงสัยเอ่ยขึ้นมาบ้าง  “และยังไงผมก็ตกงานแล้ว ก็เลยมาลองทำดูสักหน่อย”

“ก็จริง”  ฟรอสต์พยักหน้าเห็นด้วย  เขาเอาจานที่ล้างเสร็จแล้วเรียงเข้าตู้อย่างเป็นระเบียบ

“ว่าแต่… พวกนายสักคนจะช่วยอธิบายอะไรคร่าวๆ เกี่ยวกับงานให้ฉันฟังได้ไหม  อย่าบอกนะว่าฉันจะต้องยืนล้างจานทั้งวัน”

“วานีนไม่ได้บอกอะไรนายหรือไง”  เลออสย้อนถามอย่างหงุดหงิด

“บอกแค่ว่าที่นี่เปิดเจ็ดโมงถึงเที่ยงคืน  ตอนเช้าเป็นร้านอาหาร  ส่วนตอนเย็นเป็นบาร์  แล้วก็บอกว่านายซุกหัวนอนอยู่ในร้านนี้”  รามีเอลย้อนเป็นชุด  “แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าที่นี่มีพนักงานกี่คน ใครมีหน้าที่อะไรบ้าง แล้วฉันควรทำอะไร”

“ที่นี่มีพนักงานอยู่คนเดียวคือนาย”  เสียงตอบดังมาจากฟรอสต์  นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์เบือนไปสบอย่างกังขา  ฟรอสต์สบตาด้วยเล็กน้อยก่อนจะก้มลงจัดการถ้วยโถโอชามต่อพลางพูดไปด้วย  “ร้านเราเกิดจากการลงขันกันทำของคนรู้จักสิบเอ็ดคน  ทุกคนในร้านถือเป็นหุ้นส่วนกันหมด  เพราะคนเยอะเราก็เลยไม่รู้ว่าจะจ้างพนักงานไปทำไม  ฉันถึงได้แปลกใจที่วานีนรับพนักงานเข้ามาไง”

นั่นเป็นประโยคแรกที่รามีเอลได้ยินฟรอสต์พูดเกินสิบคำตั้งแต่เจอหน้ากันมา

สรุปคือเขาเป็นพนักงานคนเดียว…

ร่างบางสรุปให้ตัวเองอย่างมึนๆ

…นอกนั้นถือหุ้นที่นี่กันหมด  นี่เขากำลังจะกลายเป็นเบ๊ของที่นี่หรือเปล่านะ

“เอ่อ… แล้วพวกนายแบ่งกันดูแลร้านยังไง”  คนกำลังมึนถามเพื่อหาช่องทางที่พอจะให้เห็นได้บ้างว่าเขามีอะไรต้องทำบ้าง

คราวนี้เลออสเป็นฝ่ายตอบ

“วานีนเป็นบาร์เทนเดอร์ประจำร้านเรา ประจำตั้งแต่เช้ายันเย็น พอร้านปิดหมอนั่นก็จะไสหัวกลับบ้าน  ฟรอสต์เป็นพนักงานเสิร์ฟของที่นี่ตลอดทั้งวันเหมือนกัน  แล้วก็เป็นคนส่งน้ำแข็งมาจุนเจือร้านเรา  มีหุ้นส่วนเราอีกสองคนเป็นพ่อครัว  ประจำตั้งแต่กลางวันยันปิดร้านสลับกันไป  อย่าพูดถึงตอนเช้าเพราะเราไม่มีอย่างอื่นนอกจากไข่ดาว ไส้กรอก แฮม แล้วก็ซุปที่ฉันหรือวานีนพอจะทำได้ ดังนั้นไอ้พวกนั้นมันถึงไม่มา…

มีอีกคนหนึ่งที่จะมาประจำร้านเราทุกวันพุธเพื่อจะมาดูดวงให้ลูกค้าที่ อยากรู้ชะตาชีวิตของตัวเองกันนักหนา  เจ้าหนูคนอีกคนหนึ่งยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบจะมาช่วยที่ร้านทุกๆ เย็น  หมอนั่นก็ลงขันกับเราเหมือนกัน  แล้วเราก็ยังมีหุ้นส่วนอีกคนเป็นนักเล่นดนตรีประจำร้านที่จะมาเฉพาะตอนกลาง คืน วันอาทิตย์เท่านั้นที่ที่ร้านเราจะหยุด”

คนพูดร่ายยาวเสียเป็นพรืด  ชนิดที่ถ้าคนฟังไม่ตั้งใจฟังให้ดี ก็จะงงเป็นไก่ตาแตก  แต่ถึงฟังก็ยังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ดี  ด้วยรามีเอลได้ยินเสียงปวดตึ๊บอยู่ในหัวเพราะตั้งใจฟังมากไป

“ส่วนฉัน…”  เลออสชี้นิ้วโป้งเข้าหาตัวเองแล้วยกยิ้ม  “ก็เป็นเจ้าของร้าน”

“เดี๋ยวนะ”  รามีเอลพยายามทบทวนความจำของตน  “ที่นี่มีหุ้นส่วนสิบเอ็ดคน มีบาร์เทนเดอร์หนึ่ง พนักงานเสิร์ฟหนึ่ง พ่อครัวสอง หมอดู  เด็กมหาลัย  กับนักดนตรีอีกอย่างละหนึ่ง  นายเป็นเจ้าของร้าน  รวมเป็นเก้าคน  …แล้วที่เหลืออ่ะ”

เขาเงยหน้าถามอย่างงงๆ  เลออสเปลี่ยนสีหน้าแสดงความคับแค้นใจในฉับพลัน  สองมือท้าวเอวแล้วเริ่มพูดอย่างประสาทเสีย

“ก็น่าน…น่ะสิ!”  คุณเจ้าของร้านว่าเสียงแกนๆ  “เรายังมีอนงค์นางนางหนึ่งเป็นเจ้าแม่เงินกู้  นั่งทวงเงินลูกหนี้ทั้งวันเลยไม่มีเวลามาดูแลร้าน  ท่านชายอีกหนึ่งหน่อเป็นคู่สวีทวี๊ดวิ้วของเจ้าหล่อนเป็นคนให้เราเช่าที่ดิน ผืนนี้  หมอนั่นก็เลยหาข้ออ้างไม่ลงมาดูร้านกันง่ายๆ แต่วันที่มาเก็บค่าเช่ากับกำไรส่วนของตัวเองนี่มาตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน เหมือนคุณผู้หญิงเปี๊ยบเลย  เพิ่งรู้ว่าความงกมันออสโมซิสถึงกันได้  ส่วนอีกคนหนึ่งที่เหลือถือเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก  ดังนั้นเราไม่ควรใช้ผู้ใหญ่ทำงาน”

สิ้นเสียง  คนพูดก็ต้องอ้าปากพะงาบๆ สูดออกซิเจนเข้าเต็มปอดให้สมกับที่กลั้นหายใจพูดมาซะยาว

“ท่าทางจะเก็บกดมาก”  คนที่อยู่ในครัวอีกคนพึมพำด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ  …แต่ในประโยคที่เลออสพูดมาทั้งหมด ก็ไม่ได้เกินจริงสักเท่าไหร่

รามีเอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  ก่อนจะทำหน้าปวดใจแทน  ไม่ใช่เพราะชะตากรรมของร้าน  แต่เพราะอาการขาดออกซิเจนของคุณเจ้าของร้านมากกว่า

ถามประโยคเดียว  ตอบยาวเป็นหางว่าว

มือใหญ่ตะปบหมับเข้าที่ไหล่ของคนฟัง พลางออกแรงดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาใกล้

“ไม่รู้สินะ  คงเพราะร้านเรามีแต่พวกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มาทำงานไม่เป็นเวลาอย่างที่ฉันว่า วานีนเห็นนายตกงานอยู่ก็เลยอยากจะจ้างเอาไว้ล่ะมั้ง”

ตกงาน

รามีเอลทวนคำในใจ  รู้สึกดีใจแปลกๆ

โชคดีที่ซ่อนอยู่ในโชคร้ายล่ะมั้งเนี่ย…

“แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าจะให้นายทำอะไรดี  แล้วนายก็เพิ่งมาแค่วันแรกจะให้ออกไปรับออร์เดอร์ก็กลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง เมนู  เพราะงั้น…นายก็อยู่ในครัว ก้มหน้าทำงานจิปาถะไปเถอะ”

ขอถอนคำพูดอย่างด่วนเลย  รามีเอลตะโกนด่าในใจ

โชคร้ายซ้ำซ้อนต่างหาก!!!

ให้ตาย!  ความหมายของคำว่า ‘จิปาถะ’ นี่มันกว้างยิ่งกว่าทะเลอีกนะ  ตีความเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากพนักงานยกของ เก็บกวาด ล้างจาน ล้างถ้วย  เช็ดกระจก  กวาดพื้น  รดน้ำต้นไม้  เผลอๆ อาจมีบริการพนักงานในร้านกันเองเวลาปวดเมื่อยอย่างไม่ต้องสงสัย และอื่นๆ ที่เขาอาจจะยังไม่ได้นึกถึง

เรียกง่ายๆ ว่า งานเบ๊ นั่นเอง

มือที่เคยจับไหล่เลื่อนมาจับที่ปลายคางของคนกำลังเซ็งอย่างหยอกล้อ  เลออสยิ้มพราวทั้งตาทั้งปาก  รู้สึกมีความสุขที่ได้แกล้งคนตรงหน้า  ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมวานีนชอบแกล้งคนเหลือเกิน

“ดังนั้นทำงานวันแรกก็ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ คุณเด็กใหม่”

แล้วร่างสูงของเจ้าของร้านก็เดินลิ่วออกไปอย่างอารมณ์ดี

ฟรอสต์มองร่างคนที่กำลังนิ่งงันแล้วยิ้ม

“อย่าคิดมากไปเลยน่า”  เขาปลอบ  “ถ้านายจำเมนูร้านเราได้ทั้งหมด เดี๋ยวก็ได้ออกไปรับออร์เดอร์เองนั่นแหละ”

รามีเอลหันไปมอง  “แล้วนายมีหน้าที่อะไรในร้าน”

“ฉันเป็นบริกร”  คนถูกถามยักคิ้วเล็กน้อยระหว่างเช็ดมือที่เปียกน้ำของตนก่อนจะเดินออกไป

เหลือแต่เขาที่อยู่ในครัวตามลำพัง

“บริกรก็ยังดีกว่าเบ๊ล่ะวะ”
 
“คุณเด็กใหม่ มาจัดโต๊ะหน่อยเร็ว!”  เสียงคุณเจ้าของร้านแว่วเข้ามา

นรก…เริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น

-To be Continued-

Zodiac Cafe’ : Chapter 1

Title: Zodiac Café’
Fandom: XIII Zodiac
Author: Scuro-Luce (tonpalm)
Rate: PG….มั้ง
Warning1: ตัวละครในที่นี้มีอายุตั้งแต่ 20 ขึ้นไป
Warning2: ไม่เกี่ยวกับฉบับออริจินัลแต่อย่างใด และ..อาจวายนะเคอะ โฮะๆๆๆๆ *โดนตบ*

Chapter 1: Beginning

“Zodiac Café”

รามีเอล เรมีอาเงยหน้ามองชื่อคาเฟ่เล็กๆ ตรงหน้าซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่ามาหยุดอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเป็นร้าน ที่เขาลงความเห็นว่าแปลก ทั้งที่อาคารบ้านเรือนรอบข้างเป็นตึกสูงปูนซีเมนต์ กันหมด แต่คาเฟ่แห่งนี้เป็นอาคารสองชั้นที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ตั้งแต่ บันไดเล็กๆ สำหรับเดินขึ้นร้าน กำแพง ประตูร้านที่มีหน้าต่างเล็กๆ หกบานใสแจ๋วพอให้มองเห็นบรรยากาศข้างใน หน้าต่างไม้บานใหญ่สลักกรอบสวยงาม ด้านข้างและชั้นสอง ตลอดจนหลังคา… มันดูแปลกประหลาดไม่เข้ากับอาคารรอบข้าง เอาเสียเลย …ราวกับต้นไม้ขึ้นในดงคอนกรีต

นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์หันไปมองบรรยากาศรอบๆ ตัวก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนถนนที่ไม่คุ้นเคย ร่างสูงค่อนข้างแน่ใจว่าเขาไม่ เคยเดินผ่านแถวนี้มาก่อน และก็แน่ใจว่ามันจะคงห่างจากที่ทำงานของตนมาพอ สมควร อันที่จริง..ควรจะเรียกว่า ‘ที่ทำงานเก่า’ ซะมากกว่า เพราะมันเพิ่งจะกลายเป็นอดีตไปเมื่อตอนเก้าโมงเช้าที่ผ่านมานี้เอง

พิษของเศรษฐกิจอันฝืดเคืองทำให้บริษัทต่างๆ พากันปลดพนักงานออกเพื่อความอยู่รอด ในโลกของเศรษฐกิจที่ขึ้นๆ ลงๆ ลูกจ้างก็ได้แต่เป็นพวกรับกรรมเวลาบริษัทมีปัญหา แน่นอนว่าเขาเองก็เป็น หนึ่งในบรรดาลูกจ้างเหล่านั้นนั่นแหละ

เงินค่าจ้างล่วงหน้าสามเดือนที่เพิ่งได้มายังนิ่งสนิทอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเขาอยู่เลย

ชายหนุ่มถอนหายใจกับชะตากรรมของตัวเองทีเพิ่งจะได้ตำแหน่งเป็นคนว่างงานสดๆ ร้อนๆ

นี่เขาเดินเหม่อพาตัวเองมาอยู่ที่ส่วนไหนของเมืองกันนะเนี่ย

ลมหนาวพัดมาราวกับจะเตือนสติให้ออกจากเรื่องในอดีต เรือนผมยาวสีทองลอย ตามแรงลมอย่างไร้น้ำหนัก รามีเอลกอดอกกระชับเสื้อโค้ทของตนเพื่อหาความ อบอุ่น ก่อนจะเงยหน้ามองป้ายร้านคาเฟ่อีกครั้งอย่างนึกสงสัยในชื่อของมันว่า อะไรดลใจให้ เจ้าของร้านตั้งชื่อว่า ‘ราศี’ กันหนอ แต่สุดท้ายความสงสัยนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มพาร่างของตนก้าวไปยังบันได เล็กๆ เพื่อเปิดประตูเข้าไปในร้าน

เสียงกระดิ่งที่แขวนไว้เหนือประตูร้องทักทายเป็นสิ่งแรก ร่างกายรู้สึก ได้ถึงความอบอุ่นจากเตาผิงที่ติดไฟอยู่ ภายในร้านดูเหมือนคาเฟ่ทั่วไป มี โต๊ะเก้าอี้และบาร์เครื่องดื่มสำหรับลูกค้า ตรงหน้าเตาผิงมีโซฟายาวและ เก้าอี้โยกตัวหนึ่งวางอยู่ หลอดไฟนีออนสีส้มส่องสว่างอยู่บนเพดานทำให้คาเฟ่ แห่งนี้ดูดีอย่างเรียบๆ จนผู้มาเยือนนึกนิยมในใจ นึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างหลังจาก ตกงาน

นอกจากนั้นแล้วภายในร้านยังมีแกรนด์เปียโนหลังหนึ่งตั้งอยู่บนเวทีเตี้ยๆ ห่างจากเตาผิงไม่มากนัก  แต่สิ่งที่สะกิดใจรามีเอลมากที่สุดคือกระโจมเล็กๆ สีดำที่ตั้งอยู่ตรงมุมร้าน เขามองมันอย่างกังขาและได้แต่เก็บความสงสัยนั้น ไว้ในใจ

บางที…อาจจะใช้เก็บของอะไรก็ได้มั้ง

ความอบอุ่นภายในร้านทำให้เสื้อโค้ทไม่จำเป็นอีกต่อไป รามีเอลถอดมันออกแล้วพาดไว้ที่แขน ก่อนจะเดินไปนั่งยังบาร์เครื่องดื่ม

ข้างหลังบาร์ว่างเปล่าแต่มีเสียงทักขึ้นมาจากอีกทาง

“โซดิแอคคาเฟ่ยินดีต้อนรับ” พร้อมกับร่างหนึ่งผลักประตูเล็กหลังร้านออก มา เรือนผมยาวสีฟ้ารวบต่ำสะบัดไปมาตามการเคลื่อนไหว พร้อมกับดวงหน้าสวยหวาน ส่งยิ้มให้ทำให้เขาหน้าร้อนวูบ “ขอโทษที่ให้รอครับ คุณเป็นลูกค้ารายแรกของ วันเลยนะ”

รามีเอลส่งยิ้มให้เธอก่อนจะชะงัก… เมื่อกี้ ‘ครับ’ เหรอ?

“วันนี้อากาศหนาวกว่าทุกวันว่าไหมครับ” คุณบาร์เทนเดอร์เข้ามาประจำที่ หลังบาร์แล้วชวนคุยยิ้มๆ ลงหางเสียงด้วยคำๆ เดิมที่เขานึกว่าตัวเองหูฝาด “เดี๋ยวผมแขวนเสื้อโค้ทให้ครับ”

ชายหนุ่มส่งเสื้อให้เธอ… เอ่อ… เขา แล้วพิจารณาอีกฝ่ายระหว่างที่กำลังเดินไปแขวนเสื้อโค้ทไว้กับเสา เขามองตาม ร่างบอบบางนั่นไปอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าออกหวานขนาดนั้น แถมยังรูปร่างบอบบาง อีกต่างหาก ไม่แปลกเลยที่จะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิง

ว่าแต่…ผู้ชายงั้นเรอะ

ให้ตายสิ นี่เขาไปใจเต้นกับผู้ชายได้ยังไงกัน!!

“มองอะไรอยู่หรือครับ”

รามีเอลสะดุ้งออกจากภวังค์ รู้สึกอับอายเมื่อเห็นสายตาอีกฝ่ายจ้องมองมา แล้วเอ่ยแก้ตัวอย่างตะกุกตะกักด้วยอารามตกใจ

“ปะ…เปล่าครับ ผมแค่มองไปเรื่อยๆ”

ถึงจะค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่มีแววโกรธเคือง แต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าเห็น นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นไหวระริก แถมยังแย้มยิ้มที่มุมปากน้อยๆ มันทำให้รู้สึก หนาวเยือก ขึ้นมาอย่างไรชอบกลจึงเสหันไปมองภายในร้านแทน

“คุณ…” บาร์เทนเดอร์ หนุ่มเดินกลับมาประจำที่หลังบาร์อีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างจ้องเขม็งมา ที่ลูกค้ารายแรกของวันราวกับจับพิรุธ คนถูกจ้องได้แต่กลืนน้ำลายในลำคอ “… เป็นผู้ชายเหรอ”

รามีเอลสะดุ้งขึ้นสุดตัว เมื่อกี้มัน…อะไรนะ? “คะ.. ครับ!?”

บริกรหนุ่มหน้าหวานกอดอก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นท้าวคางอย่างครุ่นคิดพลาง พยักหน้าอย่างพออกพอใจ “ผู้ชายจริงๆ ด้วยสินะ เห็นคุณไว้ผมยาว ผมก็เลยนึกว่าเป็นผู้หญิงเสียอีก”

อะไรนะ… ผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ

เหมือนโดนเสียมารยาทอยู่อย่างไรอย่างนั้น

รามีเอลอ้าปากค้าง พอตั้งสติได้เขาก็ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมยาวสีทองของตนเองเบาๆ

“ฟะ.. ฟังเหมือนคำชมเลยนะ แต่ว่าผมต่างหากที่นึกว่าคุณเป็นผู้หญิง”

ชายหนุ่มชะงัก… เพราะเผลอพูดความจริงออกไปด้วยความหงุดหงิด

เขาก็เสียมารยาทเหมือนกัน

“เอ่อ ขอโทษด้วยครับ”

คุณบาร์เทนเดอร์หัวเราะเบาๆ อย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไร สำหรับผมมันเป็นเรื่องปกติน่ะ ผมว่ามันน่าขำ มากกว่า จะรับอะไรดีครับ วันนี้ที่ร้านเรามีอาหารเช้าแบบอเมริกัน แล้วก็ซุปเห็ดร้อนๆ ด้วย”

น่าขำเหรอ… แต่เขาไม่ขำซักนิด  รามีเอลคิดในใจ “เอ่อ.. ขอลาเต้แก้วหนึ่ง แล้วก็อาหารเช้าแล้วกันครับ”

มีเสียงฝีเท้าเดินลงบันไดมาจากหลังร้าน วินาทีต่อมาประตูบานคู่เล็กๆ หลังร้านก็ถูกผลักออกพร้อมกับร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่ง

“วานีน มีลูกค้ามาเหรอ”

ชายคนนั้นทักทายบาร์เทนเดอร์ที่กำลังง่วนอยู่กับการทำกาแฟ เขาเป็นชาย ร่างสูงในชุดบริกร เส้นผมสีน้ำตาลยาวประบ่าถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ที่ต้นคอ นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเหลือบมองลูกค้าคนเดียวในร้านก่อนจะชะงักไปเล็ก น้อย นัยน์ตาต่างสีสบกันครู่หนึ่ง ฝ่ายบริกรก็คลี่ยิ้มหวาน ยกมือปัดเส้นผม ที่ปรกหน้าออก

“ยินดีต้อนรับครับเลดี้ เช้านี้อากาศหนาวนะครับว่ามั้ย”

เคร้ง!

เสียงบาร์เทนเดอร์ร่างบางทำช้อนกาแฟหล่น ร่างของเขากำลังสั่นเพราะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ ส่วน ‘เลดี้’ กำลังอึ้งกิมกี่

‘เลดี้’

…เรอะ?

ไอ้ประโยคทักทายราวกับผู้ดีอังกฤษนั่นมันอะไร!? ไม่ใช่สิ! เขาเป็นผู้ชายนะ!!!

ระหว่างที่รามีเอลกำลังจะอ้าปากต่อว่า บาร์เทนเดอร์ที่ชื่อ ‘วานีน’ ก็พูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาซะก่อน

“เลออส นายมาทำอาหารเช้าให้เลดี้หน่อยสิ หล่ิอนหิวจะตายอยู่แล้ว”

‘คนหิวจะตายอยู่แล้ว’ อ้าปากค้างเป็นรอบที่สองของวัน แล้วดอกกุหลาบดอกหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้าด้วย ฝีมือของบริกรอีกคน คนที่ชื่อเลออสกำลังส่งยิ้มหวานมาให้ เป็นรอยยิ้มที่รามีเอลปฏิเสธไม่ได้ว่ามันดูดีมากทีเดียว

แต่เขาไม่มีอารมณ์มานั่งชื่นชมมันหรอก!!

ไอ้นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงหวานเชื่อมนั่นมันอะไร!!

“สักครู่นะครับเลดี้ ผมจะรีบทำอาหารเช้าให้”

แล้วมันก็จับดอกกุหลาบนั่นยัดใส่มือเขา ก่อนจะหายหัวกลับเข้าไปหลังร้าน ตามเดิม ทิ้งให้ชายหนุ่มได้แต่มองตามไป… ก่อนจะตวัดสายตาไปยังอีกคนที่มี เอี่ยวในความเข้าใจผิดครั้งนี้แบบเต็มๆ ซึ่งกำลังมีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออก มา

“ให้ตายสิ” บุคคลผู้ดำรงตำแหน่ง ‘เลดี้’ สบถเบาๆ

“ขอโทษนะครับ แต่ว่า… ฮ่าๆๆๆ” เขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจจนรามีเอลชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัว เองคิดผิดหรือเปล่าที่มากินกาแฟร้านนี้ แล้วมันจะเจอเรื่องซวยกว่าการได้รับ ซองขาวไหม คุณบาร์เทนเดอร์ร่างบางหายใจเข้าลึกๆ สยบความขำก่อนจะพูดต่อ “เจ้านั่นน่ะมันเป็นจีบดะไปทั่ว ฮ่ะๆ ผมก็เลยอยากหาโอกาสแกล้งมันบ้าง ฮ่าๆๆๆ”

คนฟังกุมขมับ… ดันมาเจอคนขี้แกล้งซะได้

“คุณกำลังสงสัยว่าคิดผิดรึเปล่าที่เข้ามาร้านนี้…ใช่ไหม” เขาพูดอย่างรู้ทัน ระหว่างรินลาเต้ลงในแก้วกาแฟ

“ก็ประมาณนั้น”

กาแฟหอมกรุ่นถูกวางลงบนบาร์ กลิ่นหอมฟุ้งน่าชิมทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดี ขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ตัวเองถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงถึงสองครั้ง

“มีใครเคยบอกไหมว่าคุณดูเหมือนผู้หญิง” คุณบาร์เทนเดอร์ที่เว้นว่างจากการบริการเรียบร้อยแล้วเริ่มหันมานั่งคุยกับเขาอย่างคนกันเอง

ว่าแต่นี่มันเหมาะจะเป็นหัวข้อในการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับลูกค้าหรือครับคุณ

“เริ่มมีตั้งแต่ผมขี้เกียจตัดผมแล้วก็ปล่อยให้มันยาวมาเรื่อยๆ คุณเองก็ เหมือนผู้หญิงนะครับ คุณวานีน”  คนถูกถามตอบอย่างหงุดหงิดระหว่างยกลาเต้ขึ้นจิบ ปล่อยให้รสนุ่มๆ ของมันไหลผ่านลำคอลงไป

“รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ”
 
“ไม่แย่ครับ” ชายหนุ่มแกล้งตอบไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงๆ มันอร่อยทีเดียว

บาร์เทนเดอร์หนุ่มตบหน้าผากตัวเองดังเผี๊ยะราวกับมีเรื่องกลุ่มใจมากมาย “ดูเหมือนผมจะโดนคุณเกลียดขี้หน้านะ”

“อาหารเช้ามาเสิร์ฟถึงโต๊ะแล้วครับ เลดี้!” มีเสียงดังออกมาจากหลังร้าน พร้อมกับกลิ่นอาหารเช้าโชยมาให้ชวนหิว

“แต่คุณอาจจะเกลียดผมน้อยกว่าอีกคน” คู่สนทนาขยิบตา

วินาทีต่อมา คุณบริกรที่ถูกกล่าวหาว่าจีบดะไปทั่วก็ใช้ไหล่ตัวเองดันบานประตูออกมา แล้ววางจานอาหารลงตรงหน้า  พร้อมน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบ และแจกันที่ประดับดอกไม้อย่างสวยงาม เขาหันมาสบ สายตาหวานเชื่อมพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ทำให้คนมองขนลุกชันไปทั้งตัว

“บริการทุกระดับประทับใจครับ มีอะไรให้ผมรับใช้อีกไหมครับ มายเลดี้”

ไอ้หมอนี่…

เสือผู้หญิงชัดๆ!!

คุณบาร์เทนเดอร์ร่างบางหันหน้าไปกลั้นหัวเราะกับถ้วยชากาแฟ แล้วปล่อยให้คุณลูกค้าเผชิญชะตากรรมถูกจีบต่อไปอย่างเป็นพนักงานที่ดี

รามีเอลเริ่มกระแอมเบาๆ เมื่อหาโอกาสพูดกับเขาได้ “ก่อนอื่นก็ช่วยอย่าเรียกผมว่า ‘เลดี้’ แล้วกันครับ”

“ได้ครับ …หา” บริกรหนุ่มหน้าตาดีชะงักไปทันที ท่าทางอึ้งมากถึงกับถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อตั้งหลัก “อะไร…นะ……ครับ”

“ครับ อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ” รามีเอลสำทับอย่างขี้เกียจพูดใหม่ เขาเริ่มลงมือ หั่นไส้กรอกอวบอ้วนตรงหน้าแล้วจิ้มเข้าปากเพราะความหิว ขณะที่อีกคนกำลังมอง ลูกค้าของตนด้วยความอึ้ง

“ผู้ชาย…เรอะ?” เลออสพึมพำอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้ารับไม่ได้ ก่อนจะ เหลือบไปมองร่างของเพื่อนร่วมงานที่อยู่ไม่ไกล “วานีน นาย!! รู้อยู่แล้วใช่ มั้ย!!”

นี่เขา…จีบ….ผู้ชาย!!!!

“ฮ่าๆๆๆ” วานีนหัวเราะร่วนด้วยความสะใจ หันกลับมาใช้มือข้างหนึ่งปาด น้ำตาแห่งความขำ ทิ้ง เลออสกัดฟันกรอด มือไม้ของเขาสั่นด้วยความรู้สึกอยากฆาตกรรมเพื่อนร่วม งานเต็มแก่

“นายปล่อยให้ฉันจีบผู้ชายอยู่ได้ตั้งนานสองนาน!!”

“เอาน่าๆ”

“ทีหลังก็หัดดูให้ดีก่อนสิ” คนถูกจีบถือโอกาสตำหนิ คนฟังหน้าเสียชะงัก จากเพื่อนร่วมงานหันมามองหน้าคนพูดแทน สักพักเขาก็หน้าแดงด้วยความอับอาย ยก มือขึ้นกุมขมับเหมือนเป็นเด็กมีปัญหา กัดฟันพูดอย่างยากลำบาก

“ขอโทษนะครับ แต่…” นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงที่มองตรงไปยังลูกค้าหนุ่มมีทั้งร่้องรอยความอับ อายและไม่พอใจ เขาจะทนต่อสู้กับความอับอายตนเองไม่ไหวเลยตบบาร์เสียงดัง ลั่น สรรพนามเปลี่ยนไปตามอารมณ์ “ให้ตายสิ! แล้วทำไมบอกตั้งแต่แรกล่ะว่านาย เป็นผู้ชายน่ะ!!”

“ก็แล้วพวกนายเปิดโอกาสให้ฉันพูดไหมเล่า!”

อีกฝ่ายชะงัก แล้วทำท่าจะเถียง แต่ในที่สุดก็เถียงไม่ออก “เออๆๆ ฉันมันผิดเองต้องขอโทษนายด้วยแล้วกัน วันหลังจะระวังมากกว่านี้”

“นั่นหมายความว่าวันหลังนายจะจีบฉันอีกหรือไง”

“ใครจะไปทำ!” เลออสสวนทันทีแล้วพาเปลี่ยนเรื่องทันควัน “ว่าแต่ ปกติร้าน ฉันไม่มีคนมาเวลานี้ ท่าทางนายก็อายุพอๆ กับฉันนี่ ไม่ไปทำงานหรือไง”
 
“เฮ้ๆ นายจะไล่ลูกค้าหรือไง”

รามีเอลพูดพลางตักซุปเห็ดอุ่นๆ ในถ้วยทาน …ว่าแต่ว่า ประโยคนั้้นแทงใจเป็นบ้า

“ก็เปล่าหรอก แต่ก็น่าจะรู้ไว้บ้าง ฉันจะได้กะเวลารับลูกค้าถูก” บริกรหนุ่มพูดพลางใช้ศอกท้าวบาร์แล้วโน้มตัวลงมาคุย

“…”

“หน้านายเหมือนผู้หญิงจริงๆ สิพับผ่า”

คนฟังเงยหน้าขึ้นจะถ้วยซุปทันที “ขืนนายพูดคำว่า ผู้หญิงหรือเลดี้อีกคำเดียว ฉันต่อยนายแน่”

“คุณเพิ่งออกจากงานสินะ”

ชายหนุ่มสะดุ้งหันไปมองคุณบาร์เทนเดอร์ร่างบางทันที   ส่วนว่าที่ึคู่ชกตรงหน้ายกมือขึ้นกอดอกแล้วพยักหน้า พูดเองเออเองเสร็จ สรรพ “อืมๆ เข้าใจล่ะ นายโดนไล่ออกจากงานสินะ น่าสงสารจริงๆ”

“ไม่ได้โดนไล่ออกจากงานเฟ้ย!  แต่เศรษฐกิจมันไม่ดี บริษัทเลยต้องปลดพนักงานออกเท่านั้นเอง! อ๊ะ…”

…เผลอพูดออกไปแล้ว

รามีเอลถอนหายใจ รู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ได้กาแฟกับอาหารเช้าเติมพลังแล้วเชียว นัยน์ตาเหลือบมองบริกรเสือ ผู้หญิงอย่างคาดโทษ

“ว่าแต่…คุณรู้ได้ไงว่าผมเพิ่งออกจากงานมา”

“เผอิญผมเจอซองขาวในเสื้อโค้ทคุณน่ะ” คนถูกถามหันมาตอบหน้าระรื่นพร้อมกับชูซองสีขาวในมือให้ดูเป็นหลักฐาน

“อย่าเที่ยวค้นสมบัติของคนอื่นเขาตามในชอบสิเว้ย!!!” รามีเอลลุกขึ้นโวย รู้สึกมึนหัวเต็มกำลัง

คิดผิด… คิดผิด… ต้องคิดผิดแน่ๆ ที่เข้าร้านนี้!!!

“ผมเปล่านา พอดีมันหล่นตอนคุณส่งโค้ทให้ผมน่ะ”

“แล้วก็เปิดอ่านด้วยใช่มั้ยล่ะ!”

“แหม โชคร้ายจริงๆ แฮะ ขอให้หาใหม่ให้ได้เร็วๆ ล่ะ”

นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์วาวโรจน์

ไอ้วาจาดูถูกดูแคลนนั่นมันอะไรฟะ!!

“เหมือนนายจะอยากมีเรื่องกับฉันนะ”

“โฮ่… ได้เสมออยู่แล้ว”

“นายสองคนนี่ดูเข้ากันดีนะ มาทำงานที่ร้านนี้มั้ยล่ะ” จู่ๆ คุณบาร์เทนเดอร์ร่างบางก็ออกปากชวนคนกำลังตกงาน ทำให้คู่มวยที่กำลังจะเกิด ขึ้นชะงักกึก วานีนยิ้ม “กำลังขาดคนอยู่น่ะ”

“เฮ้ๆ ที่พูดว่าเข้ากันได้ดีเนี่ย นายเอาอะไรมองไม่ทราบ แล้วร้านเรามันขาดคนตอนไหน”

เป็นครั้งแรกที่รามีเอลเข้าข้างไอ้เสือผู้หญิงนี่

“ก็เจ้าพวกนั้นเวลามันว่างมาที่้ร้านทุกวันที่ไหนเล่า เวลาคนเข้าร้าน เยอะๆ นายกับฉันก็วิ่งวุ่นเป็นหนูติดจั่นกันทุกที ให้รามีเอลช่วยนั่นแหละดีแล้ว”

ชายหนุ่มผมทองขมวดคิ้วมุ่น …นี่เขายังไม่ได้แนะนำตัวเลยนะ

“ก็พอดีบัตรพนักงานของคุณมันหล่นมาพร้อมกับซองขาวน่ะครับ คุณรามีเอล เรมีอา” อีกฝ่ายตอบให้ราวกับรู้ทันความคิด แถมยังเรียกชื่อซะเต็มยศ

…แน่ใจนะว่ามันหล่นลงมาเองน่ะ!!

“ถึงงั้นก็เหอะ แต่จะให้เจ้านี่มาทำงานที่ร้านเราเนี่ยนะ” เลออสติงด้วยอคติส่วนตัว เมื่อกี้เขาเพิงจีบไอ้บ้านี่ไป ความอับอายยังไม่ จางหาย อยู่ๆ ก็จะลากมันมาร่วมงานด้วยกันเนี่ยนะ

ไม่มีทาง!!

ทว่าประโยคนั้นทำเอาคนฟังเส้นเลือดปูดขึ้นมาทีเดียว

“ถ้าฉันจะมาทำงานที่นี่แล้วมันจะทำไมไม่ทราบ นายเป็นเจ้าของร้านหรือไงถึงห้ามฉันได้”

รามีเอลเริ่มท้าวบาร์ชะโงกหน้าไปหาเรื่องเจ้าบริกรปากร้ายบ้าง คนถูกหา เรื่องได้ฟังก็ขยับ ยิ้ม เอื้อมมือข้างหนึ่งมาแตะบ่า พร้อมกับเคลื่อนใบหน้าของตนเข้ามา ใกล้ ร่างบางชะงักจะถอยห่างทว่ามือแข็งแรงนั้นกลับออกแรงบีบเขาไม่ให้ผละ ออก ก่อนจะใช้นิ้วชี้ของมืออีกข้างมาเกี่ยวเส้นผมสีทองของเขาไปม้วนเล่น

“จะบอกอะไรให้นะครับคุณลูกค้า… ฉันเนี่ยแหละเจ้าของร้าน!!!”

“ห๊ะ…!” ชายหนุ่มอุทานอย่างไม่อยากเชื่อหู… ไอ้หมอเนี่ยนะเจ้าของร้าน!

ปึ้ก!! เสียงฝ่ามือมนุษย์กระทบเข้ากลางหลังท่านเจ้าของร้านอย่างแรงด้วย น้ำมือ บาร์เทนเดอร์หน้าสวยที่ยืนอยู่เบื้องหลัง แรงมากจนคุณเสือผู้หญิงจุกจนพูด ไม่ออก เจ้าของใบหน้าสวยคลี่ยิ้มหวานจัดจนทำให้คนมองหนาวเยือกไปถึงไข สันหลัง เห็นแววอำมหิตอยู่รำไร

“แล้วถ้าฉันจะรับรามีเอลเข้ามาทำงาน นายมีอะไรขัดข้องกับหุ้นส่วนรายใหญ่อย่างฉันงั้นหรือ…เลออส เมรูิอา”

“อ่า…” เลออสพูดไม่ออก แต่คนที่อ้างว่าเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของร้านนี้ก็หันกลับไปยังรามีเอลด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะซื่อ

“คุณเจ้าของร้านเค้าไม่มีปัญหาแล้วล่ะ”

ร่างบางมองหน้าคนที่ว่า

…มันใช่อย่างนั้นซะที่ไหนกันเล่า

“มาเถอะน่า ลองงานสักวันก็ไม่เห็นจะเป็นไร ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

เขาถอนหายใจ และได้แต่ปล่อยให้คนหน้าสวยลากตนเองเข้าไปหลังร้านในที่สุด

-To be Continued-

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Just Tell Me : Prolouge

บทนำ
.
.
.
ห้องผนังอิฐถูกฉาบด้วยสีส้มจากคบเพลิงที่ส่องสว่างสะท้อนภาพเงามนุษย์ไหว วูบบนกำแพง  นอกจากควันขาวของซิการ์จะลอยอบอวลไปทั่วห้องส่งกลิ่นฉุนแล้ว  ข้างในนี้ยังอวลไปด้วยหมอกควันแห่งความรู้สึกจากชายฉกรรจ์เหล่านักพนันทั้ง หลาย  ประกายความปลื้มปริ่ม ความสิ้นหวังสะท้อนชัดบนแววตาของแต่ละคน  เสียงร้องเฮคละกับเสียงร่ำไห้ผสมกับเสียงดนตรีบรรเลงดังลั่นห้อง  ทั้งที่รู้ว่ามีความเสี่ยงแต่คนเหล่านี้ก็ยังพร้อมที่จะเสี่ยงอย่างหน้ามืด ตามัว  ดุจดั่งกระโจนลงไปยังก้นบ่อที่เห็นว่ามีสมบัติอยู่มากมาย  โดยไม่เคยฉุกใจคิดสักนิดว่ามีหนามแหลมเป็นกับดัก  ชวนให้รู้สึกว่าสมกับเป็นที่อโคจรซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษรอบด้าน    ทั้งเสียง อากาศ สายตา และชีวิต

ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกนั้นมีโต๊ะตัวหนึ่งถูกจับจองโดยนักพนันสี่คนที่ส่ง เสียงครื้นเครง  ทว่ามีหนึ่งในสี่คนนั้นกลับมีใบหน้าเคร่งเครียดกว่าใครเพื่อน  นัยน์ตาสีเงินหม่นจนคนมองสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง  ชวนให้รู้สึกน่าสงสาร…ทว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หรอก

คนที่ติดการพนันนั้นก็เหมือนคนที่ตกลงไปในหลุมที่ตัวเองขุดเอาไว้  และคนที่สนใจอยากลองนั้นก็เหมือนกับคนที่ขาลงไปอยู่ในหลุมข้างหนึ่งแล้ว

เจ้าหนูนี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ยินดีก้าวขาลงไปในหลุมก่อนจะร่วงลงไปอย่าง ตอนนี้เพราะความอยากรู้อยากลอง  แต่ช่างโชคร้ายที่ต้องมาเจอกับเขา  กลลวงของการพนันคือการล้อเล่นกับความโลภของมนุษย์  มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด  เมื่อได้แล้วก็จะยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีกอย่างไม่รู้จักพอ…

“เอ้าๆ ทำหน้าแบบนั้นก็เหมือนไม่ได้เล่นโป๊กเกอร์กันพอดีน่ะสิ”  ชายฉกรรจ์กระเซ้ายิ้มๆ ไปยังคนหน้าเครียด  “โป๊กเกอร์เฟซน่ะรู้จักไหม เจ้าหนู”

“อย่าไปกดดันมันนักเลย  แค่นี้มันก็เครียดจะตายอยู่แล้วล่ะ  ใช่ไหม”  เสียงผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งดังขึ้นเหมือนจะปราม  หากแต่น้ำเสียงนั้นเจือแววขบขันจนเห็นได้ชัด

นัยน์ตานั่นเงยขึ้นสบมอง  ใบหน้าซีดเซียว  “ท่านเจ้ามือ…ข้าว่าข้าเลิกเล่นดีกว่า”

คนฟังเบิกตา  ก่อนพ่นหัวเราะออกมา  “ไม่ได้ๆ เริ่มแล้วก็ต้องเล่นให้มันจบๆ ตาสิ  ค้างไว้แบบนี้มันผิดกติกา  ต่อให้ไพ่เจ้าจะแย่แค่ไหนก็คงไม่ถึงขนาดหมดตัวหรอกมั้ง”

“ข้าก็ไม่แน่ใจ…”  อีกฝ่ายตอบกลับมาเบาหวิว  นัยน์ตาเริ่มชื้น  “เล่นแรกๆ มันก็ได้อยู่บ้าง  แต่หลังๆ นี่ข้าโดนกินตลอด… หรือว่าท่านโกง?”

“เฮ้!”  ชายอีกคนบนโต๊ะผุดลุกขึ้น

“หยุดก่อน”  เจ้ามือนักพนันปรามให้อีกคนนั่งลง  “จะถือสาอะไรกับเด็ก… เจ้าหนู ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไปรังแกเด็กอย่างเจ้าทำไมกัน  มันคงอยู่ที่ดวงล่ะมั้ง แต่ไม่แน่ว่ารอบนี้อาจจะมีดวงก็ได้”

“งั้นข้าเลิกเล่นดีกว่า”

“ใจร้อนซะจริง”  คนเป็นผู้ใหญ่พูดกลั้วหัวเราะ  “เดี๋ยวๆ เอาแบบนี้ไหม…”  มือหยาบกร้านผลักกองเหรียญที่อยู่ฝั่งตัวเองออกไปรวมกับกองเงินที่อยู่ตรง กลาง  “ข้าพนันให้เจ้าหมดหน้าตักเลยดีไหม”

เขาโยนเหยื่อชิ้นใหญ่ลงไป

“เอ๋!?”  เด็กหนุ่มถึงกับเด้งตัวขึ้นมาด้วยความตกใจ  “มะ… หมดหน้าตัก!  จริงๆ นะ!”

“แต่เจ้าก็ต้องลงหมดหน้าตักเหมือนกัน  มันเป็นมารยาท”

“มะ…หมดเลยเหรอ”  อีกฝ่ายแสดงความลังเลใจ  ก้มมองกองเงินของตัวเองที่เหลืออยู่น้อยนิด

“ยื่นหมูยื่นแมว  เจ้าลองคิดดูสิมันอาจจะคุ้มก็ได้  ทั้งกองนี่ข้าว่าเกือบๆ สามพันเหรียญเลยนะ”

“สามพันเหรียญ!”  เด็กหนุ่มอุทาน  ก่อนมองกองเงินนั้นตาโตแล้วลนลานเลื่อนกองเหรียญของตนออกมาบ้าง   “ท่านไม่ผิดคำพูดจริงๆ นะ หมดนี่เลยจริงๆ นะ!”

ชายฉกรรจ์หัวเราะหึๆ แล้วพยักหน้าเป็นการย้ำ  เมื่อเห็นดวงตาสีเงินของอีกฝ่ายเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งก็ยิ้มอย่างสมใจ

เจ้าหนูจะไม่มีวันชนะในตานี้หรอก  …เขามองไพ่ที่อีกฝ่ายมีในมือแล้วคิด

“เอาล่ะที่นี้ก็เปิดไพ่ได้เสียที”

แล้วพวกเขาก็พร้อมใจกันเปิดไพ่  สิ่งที่เห็นกลับทำให้ใบหน้าเคลือบยิ้มของชายทั้งสามเปลี่ยนไป  ทั้งที่พวกเขามั่นใจว่าในมือของตนมีไพ่ที่เหนือกว่า  แต่สิ่งที่อยู่ในมือเจ้าหนูตรงหน้านั่น…กลับเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

“รอยัลฟัดจ์”

รอยยิ้มกลับเป็นของผู้อาวุโสน้อยกว่า  เป็นรอยยิ้มสมใจเกือบจะสะใจจนทำให้คนมองแทบคลั่ง  นัยน์ตาสีเงินเปล่งประกายสวยงามแต่ดูเย็นเยียบ  เด็กหนุ่มเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนราวกับท่าทีที่ผ่านมาเป็นภาพลวงตา

“โป๊กเกอร์เฟซน่ะรู้จักไหม ท่านเจ้ามือ”

.
.
.
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาดังเป็นครั้งที่สองหลังจากล่วงเลยเวลาเที่ยงคืนมา ได้สองชั่วโมง ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นเป็นสีดำสนิทไร้แสงสุกสกาวจากดวงดาวและพระจันทร์เพราะ เป็นคืนเดือนมืด จะมีก็แต่เพียงตะเกียงหน้าร้านรวงข้างทางที่ยังให้ความสว่างอยู่แม้ว่าร้าน ค้าจะปิดไปแล้วก็ตาม  ถนนสายยาวเงียบเหงาไร้รถราใดๆ สัญจร  เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบสงัดราวกับเมืองร้าง  แต่ก็ถูกทำลายด้วยเสียงๆ หนึ่งที่ดังมาจากในซอกตึกเล็กๆ

“อั่ก!”  เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างทั้งร่างของชายฉกรรจ์คนหนึ่งกระตุก อย่างเจ็บปวดเมื่อผู้ประทุษร้ายกระแทกเข่าเข้าที่ท้องของเขาอย่างแรง  จนต้องลงไปนอนแอ้งแม้งไม่เป็นท่าบนพื้นสิ้นเรี่ยวแรงหลังจากถูกซ้อมมาเกือบ ชั่วโมง  แม้ว่าในใจของเขาจะรู้สึกว่ามันยาวนานราวกับหนึ่งวันเต็มๆ  ขณะที่ผู้กระทำยังคงยืนมองด้วยนัยน์ตาไร้อารมณ์  และมีผู้สมรู้ร่วมคิดยืนมองอยู่ใกล้ๆ  และมีร่างเพื่อนร่วมงานของเขาสลบอยู่ใต้แทบเท้าคนๆ นั้น

“พอได้แล้วมั้ง…เดี๋ยวมันก็ตายกันพอดี”  เสียงชายหนุ่มว่าหลังจากยืนดูมานาน  ถึงจะพูดอย่างนั้น  แต่ท่าทางก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปขัดขวางการกระทำของผู้เป็นเพื่อนแต่ประการใด

ร่างที่เล็กกว่านิ่งไปเล็กน้อยเหมือนครุ่นคิด  ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาเหยื่อเพียงด้าวเดียว  ก็ทำให้ชายฉกรรจ์คนนั้นผวา  ร้องลั่น

“พอแล้ว!  พอแล้ว!! อย่าทำอะไรข้าเลย  ขอร้องล่ะ!!”

เขาสาบานในใจว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับไอ้หนุ่มนี่อีก  ถึงแม้จะเห็นว่ามันตัวเล็กๆ ดูหลอกง่ายไร้พิษสงจากที่ตาเห็นครั้งแรกก็ตาม  แต่ใครจะไปรู้ว่ามันมีลูกเล่นกอบโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำในตอนสุดท้าย จนเจ้านายของเขาเลือดขึ้นหน้า  สั่งให้ตามมาสั่งสอนมันอย่างด่วน

ร่างนั้นก้มลงเก็บถุงเงินที่หล่นอยู่บนพื้น  และหันไปกระตุกถุงเงินที่ห้อยอยู่ที่เอวจากตัวเขา  ก่อนจะยืดตัวขึ้นโยนถุงเงินทั้งสองขึ้นลงในอากาศราวกับเป็นของเล่น  เสียงกรุ้งกริ๊งในถุงดังขึ้นไม่ขาด  น้ำหนักที่อยู่ในมือทำให้ร่างนั้นกระตุกยิ้มขึ้นเล็กๆ

“เงินแค่นี้ไม่เท่ากับที่พวกเจ้าโกงเงินชาวบ้านเขามาหรอกน่า”

ร่างนั้นพูดและทำท่าจะเดินจากไป  ชายฉกรรจ์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกนึกขอบคุณในพระเจ้า  ทว่าสุดท้ายร่างนั้นก็หันกลับมา  แสงจากตะเกียงที่ยังพอมีจากด้านนอกส่องเข้ามาให้พอเห็นนัยน์ตาสีน้ำแข็ง วาววับในความมืด  นัยน์ตาอันเลือนรางของชายหนุ่มมองร่างตรงหน้ากระตุกยิ้มด้วยหัวใจเต้นรัว  เลือดในกายพลันเย็นเยียบเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อหยิบอะไร บางอย่างออกมา  แล้วแสงสีเงินที่สะท้อนเข้านัยน์ตาก็ทำให้ชายหนุ่มเบิกตาโพลงลืมหายใจ  และล้มตึงไปทันที!

เหรียญเงินหนึ่งเหรียญดีดเข้าหน้าคนที่ล้มตึงเป็นศพไปเรียบร้อย  ขณะที่คนต้นเหตุเพิ่งสังเกตว่าร่างนั้นแน่นิ่งไป  จึงขมวดคิ้วมุ่นเข้าไปเอานิ้วอังที่จมูกทันที  ผิดกับอีกคนที่ยืนดูเหตุการณ์ตลอดกำลังขำพรืด
“หัวเราะอะไรของเจ้าน่ะ”  คนกำลังเครียดตวัดเสียงที่ดูแหลมเล็กไปถาม

“ข้ากำลังคิดว่าเจ้านั่นมันตัวโตซะเปล่าแต่ใจปลาซิวชะมัดน่ะสิ”  คนถูกถามหลุดขำออกมาอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ  “ถ้าข้าอยู่ในสถานการณ์แบบมันก็คงไม่คิดว่าคนที่กระทืบข้าจนเกือบตาย  เกิดใจดีในวินาทีสุดท้ายควักเหรียญเงินเป็นค่ารักษาแผลหรอกนะ  น่าจะคิดว่าควักมีดออกมาทะลวงไส้ข้ามากกว่า ฮ่าๆๆๆๆ”

เมื่อสัมผัสถึงลมหายใจที่ยังคงมีอยู่ ร่างนั้นก็ลุกขึ้นและหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มตรงๆ นัยน์ตาสีเงินสะท้อนแววรำคาญในอยู่วิบวับ

“ถ้าการกระทำของข้ามันน่าขันนัก  บางทีข้าควรจะยอมเปลี่ยนใจควักมีดออกมาแทงเจ้าจริงๆ ล่ะมั้ง  แบล็ค กาเบรียล”

ชายหนุ่มนามแบล็ค กาเบรียลกระแอมไอเล็กน้อยแล้วใช้ความพยายามหุบยิ้มโดยการเกร็งกล้ามเนื้อ ใบหน้าก่อนที่เพื่อนของเขาจะชักมีดออกมาทะลวงไส้อย่างที่ได้กล่าวไว้  ทว่าอย่างไรอีกคนก็ยังเห็นรอยบุ๋มเล็กๆ ที่มุมปากปรากฏขึ้นอยู่ดี  และมันทำให้ความพยายามนั้นดูไร้ประโยชน์

“น่า… จะซีเรียสไปทำไมนักหนา  ตอนเข้าบ่อนเมื่อกี้ยังเครียดกว่าเลย ตอนนั้นข้าล่ะกลัวว่าเจ้าจะหมดตัวจริงๆ แต่เวทลวงตานี่เจ๋งชะมัด รอยัลฟัจด์เชียวนะ! ข้าคงต้องไปฝึกเวทบ้างแล้ว”

“เพราะข้ารู้ว่าถ้าเล่นกับเจ้าพวกนี้ ข้าไม่จำเป็นจะต้องเล่นอะไรให้มันใสสะอาดน่ะสิ”  ซินซ์ตอบเสียงเรียบ

ตอนนี้ทั้งสองพากันเดินออกมาจากซอกตึก  หากใครยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้ก็คงจะเห็นหน้าตาของทั้งสองอย่างชัดเจน  บุรุษนามแบล็ค กาเบรียลนั้นเป็นชายร่างสูงที่กำยำสมส่วนจนผู้ชายหลายคนยังอิจฉา  ผิวของเขาออกสีแทนนิดๆ  ใบหน้าคมเข้มนั้นประกอบด้วยเครื่องหน้าได้รูป  จมูกโด่ง  ริมฝีปากบางเฉียบมักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ  ดวงตาของเขาดูขี้เล่นตลอดเวลา  นอกจากนี้เขายังมีสีนัยน์ตาและสีผมสำดำสนิทสมชื่อ

ขณะที่สหายอีกคนนั้นไม่ได้มีรูปร่างกำยำสมส่วนเช่นเขา  ซินซ์มีรูปร่างผอมบางจนผิดจากลักษณะของชายชาตรีโดยสิ้นเชิง  เขาสูงแค่คางของแบล็ค  มีผิวสีขาวสะอาด  ใบหน้าติดจะหวานคม  ริมฝีปากได้รูปในเวลานี้ไม่มีรอยยิ้มเช่นเดียวกับนัยน์ตาสีเงินที่ส่อแวว หงุดหงิดรำคาญใจต่อการขยี้หัวของเพื่อนรักที่ทำให้ผมสีน้ำตาลของเขา ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

ทั้งสองเดินมาขึ้นมารถม้าที่จอดทิ้งไว้และเริ่มออกเดินทางโดยมีแบล็คเป็น คนคุมบังเหียน  เสียงฝีเท้าม้าและล้อรถดังก้องไปทั่วท้องถนนที่ไร้ผู้คน  สายลมยามค่ำคืนโชยมากระทบผิวกายนั้นเย็นสบายขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนที่ไป ด้วยความเร็ว

“แล้วเราจะไปไหนกันต่อ  เอาถุงเงินนั่นไปคืนคนว่าจ้างเลยดีไหม”  แบล็คเอ่ยถามคนข้างตัวแข่งกับเสียงลมที่ร้องหวีดอยู่ในหู  เขาพูดถึงถุงเงินที่ซินซ์กระตุกมาจากเจ้าตัวใหญ่ใจปลาซิวที่ยังนอนไม่ได้สติ อยู่ในตรอก

คนถูกถามหาวหวอด

“กลับไปนอนสิเจ้าบ้า เรื่องอื่นค่อยว่ากันพรุ่งนี้”
.
.
.

- To Be Continued -