หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Zodiac Cafe’ : Chapter 2

Chapter 2:  Responsibility

“ครึ่งวันแรกคาเฟ่ของเราจะเปิดเป็นร้านอาหารธรรมดา ส่วนตอนเย็นเราถึงจะเริ่มเปิดบาร์  ช่วงเช้าน่ะคงยังไม่ค่อยมีคนมานัก  แต่ตอนกลางวันระวังให้ดีนะครับ  พวกพนักงานบริษัทแถวนี้จะเริ่มแห่มาทานอาหารร้านเรากัน”  รามีเอลปล่อยให้คำบอกเล่าของวาเนลอส เอนวารันย่าหรือชายหน้าหวานผู้มีชื่อย่อๆ ว่า ‘วานีน’ ไหลผ่านหูไป  ตอนนี้เขาเปลี่ยนชุดเป็นชุดพนักงานร้านนี้เรียบร้อยแล้วและกำลังสาละวนอยู่ กับการล้างจานกองมหึมาข้างหน้าให้เสร็จก่อนลูกค้าช่วงเที่ยงวันจะมา

…ทดลองงานด้วยการล้างจาน

มีจานใบที่ตัวเองเพิ่งจะทานไปเมื่อครู่อีกต่างหาก

ยังจำได้หลังจากวานีนลากตัวเขาเข้ามาหลังร้านแล้วชี้ให้ดูกองจานที่ต้อง ล้างให้เสร็จ …งานหลังร้านที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ลงมาจับมันจริงๆ ความรู้สึกราวกับเป็นลูกค้าที่กินแล้วไม่มีเงินจ่าย ต้องชดใช้ด้วยแรงงานและร่างกายเหมือนในการ์ตูนอย่างไรอย่างนั้น

“ร้านเราเปิดบริการตอนเจ็ดโมงเช้าถึงเที่ยงคืน  ท่านเจ้าของร้านจะซุกหัวนอนอยู่ชั้นบนของร้านไม่หายไปไหน ดังนั้นถ้าวันไหนคุณมาเช้ามากๆ หรือตอนกลางดึกต้องการความช่วยเหลือก็มากดกริ่งประตูร้านเรียกเขาได้เสมอ”

คุณหุ้นส่วนรายใหญ่ของคาเฟ่แจกแจงแถลงไถด้วยรอยยิ้มอย่างหวังดีระหว่าง ช่วยพนักงานใหม่เรียงจานที่ล้างเสร็จแล้วให้เข้าที่  แต่คนฟังก็ยังไม่เห็นเหตุผลว่าเขาจะลุกขึ้นมาขอความช่วยเหลือเจ้าของร้านตอน ดึกๆ ไปทำไม

“ไม่ต้องอธิบายละเอียดขนาดนั้นก็ได้ ผมยังไม่รับปากเสียหน่อยว่าจะมาทำงานที่ร้านนี้”

วานีนยิ้มกับประโยคนั้นอย่างไม่เดือดร้อน  “แล้วคุณมีที่ไปหรือ”

พอได้ยินประโยคนี้คนฟังถึงกับถอนหายใจแล้วละงานที่ทำอยู่ชั่วคราว  รามีเอลหันไปมองบาร์เทนเดอร์หน้าสวย แล้วเห็นดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายราวกับเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่ายังไงเขาก็ ต้องลงหลักปักฐานที่นี่เป็นแน่

“บริษัทในประเทศมีเยอะแยะถมไป”

“อาจไม่เยอะในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้”  คู่สนทนาติงด้วยความจริงที่ทำให้คนฟังต้องสะอึก  แล้วแอบถอนใจเฮือกอยู่ในอก  …คนๆ นี้เล่นด้วย…ยาก

“สุดท้ายคุณก็ไม่พ้นล้างจานในร้านอาหารอยู่ดี เชื่อผมสิ”  วานีนพูดอีกครั้งพลางขยิบตาอย่างน่ารักน่าชังในสายตาของคนมอง  ชายหนุ่มหันกลับมายังกองจานตรงหน้าอย่างเซ็งจัดแล้วคว้ามันขึ้นมาล้างต่อ  พลางพูดอย่างยอมรับ

“อา…คงจริง”  วานีนยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายจนมุมในที่สุด  “จะว่าไป…คุณบอกว่าตอนกลางวันลูกค้าจะเยอะสินะ  แต่คุณมีกันอยู่สองคนแล้วคุณจัดการกับลูกค้ายังไง”

คนถูกถามนั่งพิงกับเคาน์เตอร์ครัวพลางกอดอกอธิบาย  “จริงๆ แล้วนอกจากผมกับเลออสก็ยังมีอีกเก้าคนที่เป็นหุ้นส่วนกับเรา  แล้วเราก็มีพ่อครัวประจำที่จะว่างมาเฉพาะช่วงกลางวันและช่วงเย็นเท่านั้น  ดังนั้นผมกับเลออสก็รับมือไม่ลำบากเท่าไหร่  ส่วนช่วงเช้าเราจะขายเฉพาะอาหารเช้าเบาๆ ที่ผมกับเลออสทำได้ ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร”

รามีเอลขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับประโยคเมื่อครู่

“เดี๋ยวนะ… คุณบอกว่าร้านเล็กๆ แบบนี้กลับมีหุ้นส่วนตั้งสิบเอ็ดคนงั้นหรือ!?”

“เป็นคนรู้จักกันลงขันกันทำน่ะ โดยคุณเจ้าของร้านเป็นตัวตั้งตัวตี”  คำอธิบายของวานีนทำให้ร่างบางต้องวางมือจากงานที่ทำอยู่อีกครั้งเพราะความ อยากรู้อยากเห็น

“เจ้าเสือผู้หญิงนั่นเป็นคนต้นคิด แต่คุณกลับเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดเนี่ยนะ …ตลกดี”  เขาตั้งข้อสังเกตพลางหัวเราะหึๆ ไม่เกรงกลัวที่จะใช้สรรพนามเรียกแทนเจ้าของร้านด้วยความเคารพรัก  ส่วนคนฟังเองก็ไม่ได้คิดจะทักท้วงแต่อย่างใด

“มันง่ายน่ะถ้าเขาจะส่งต่อร้านให้ผม”  บาร์เทนเดอร์หนุ่มเกี่ยวเส้นผมที่ยาวจนถึงเอวของตนขึ้นมาม้วนเล่นอย่างไม่มี อะไรทำ  คิ้วสีอ่อนขมวดเข้าหากันน้อยๆ  “หมอนั่นเป็นคนไม่จริงจังกับอะไรเท่าไหร่  ตอนชวนทำร้านนี้ก็เหมือนกัน  ตอนนั้นมันมีเงินไม่พอจะเช่าตึกด้วยซ้ำ  คิดแล้วน่าหงุดหงิดจริงๆ”

รามีเอลหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นแววความหงุดหงิดบนใบหน้าสวยหวานของคู่ สนทนา  ก่อนจะซักต่ออย่างนึกสนุก  เรื่องความเป็นมาของคาเฟ่แห่งนี้น่าสนใจดีไม่หยอก

“แล้วอะไรทำให้พวกคุณลงทุนตามเขาไปล่ะ”

แล้วคนข้างตัวกระตุกยิ้ม  “มันน่าสนุกน่ะสิ”

“หา…”

ไม่ทันได้อึ้งต่อ  เสียงกระดิ่งประตูร้านก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากพนักงานร้านทั้งสองไป  พวกเขาได้ยินเสียงเลออสกำลังพูดกับใครบางคน  ไม่นานเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็เข้ามาใกล้หลังร้าน  เลออสผลักประตูเล็กโผล่เข้ามา  คุณเจ้าของร้านกำลังแบกกระสอบอะไรสักอย่างบนไหล่ข้างหนึ่ง  นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงปรายมาที่รามีเอลเล็กน้อย  ยังอดขุ่นเคืองอีกฝ่ายเล็กๆ ในใจไม่ได้  ก่อนจะเบือนหนีหันไปยังตู้เย็นเหล็กขนาดใหญ่  ชายหนุ่มดึงช่องด้านล่างออกมาก่อนจะเทของในกระสอบลงไปแช่เย็น

“ฟรอสต์มาแล้วเหรอ”  วานีนถามขึ้นเมื่อเห็นของในตู้ที่เพิ่งเทลงไป

เลออสยังไม่ทันตอบ เช่นเดียวกับรามีเอลที่ยังไม่ทันได้ถามว่าใครคือฟรอสต์ คำตอบของเขาก็เดินเข้ามาหลังร้าน  นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์สะท้อนภาพชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินแบกกระสอบตามเข้า มา  เรือนผมสั้นสีเงินยวงช่วยขับให้ผิวขาวสะอาดสะอ้านดูโดดเด่น  นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างทว่าดูเข้มและลึกล้ำกว่าของวานีนหันมาสบตาเขาอย่างไม่ ตั้งใจ  แล้วเผยแววแปลกใจน้อยๆ ที่เห็นคนไม่คุ้นหน้าอยู่ในร้าน  เสียแต่ดวงหน้าคมคายนั้นค่อนข้างดูจะไร้อารมณ์อยู่สักหน่อย

“ฉันเอาน้ำแข็งมาส่ง”  เสียงทุ้มลึกเอ่ยเรียบๆ

“อรุณสวัสดิ์”  วานีนยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปรับกระสอบน้ำแข็งมาจากร่างสูงมาเทใส่ตู้

ฟรอสต์ยังคงสบตากับชายหนุ่มร่างบางผมสีทองยาวสลวยซึ่งเขามั่นใจเหลือเกิน ว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนอย่างแปลกใจ  เลออสมองทั้งสองคนไปมาก่อนจะกระแอมอย่างเสียมิได้  ขืนไม่อธิบาย  ปล่อยให้มองหน้ากันต่อไปไม่ต้องทำอะไรกันพอดี

“วันนี้เราได้พนักงานเข้ามาใหม่น่ะ  นี่รามีเอล เรมีอา  รามีเอล นี่ฟรอสต์ เซลาดอน เพื่อนร่วมงานของนาย”

“ยินดีที่ได้รู้จัก”  ฟรอสต์กล่าวพลางยื่นมือออกมา ทำให้รามีเอลต้องรีบเปิดน้ำล้างมือแล้วเอื้อมมาจับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

“เช่นกันครับ”

มือของฟรอสต์เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง …ก็แน่สิ เพิ่งจะแบกน้ำแข็งมานี่นา

“โอ๊ย!” เลออสร้องเสียงหลงเมื่อผมที่รวบอยู่ด้านหลังถูกใครบางคนดึงซะสุดแรง  นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงหันไปมองคนประทุษร้ายเบื้องหลัง เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของผู้ต้องหาเป็นสิ่งแรก  คุณเจ้าของร้านแยกเขี้ยวแล้วเอ่ยประชด  “คุณหุ้นส่วนรายใหญ่มีปัญหาอะไรกับกระผมอีกไม่ทราบ”

“ก็นายพูดลดขั้นฟรอสต์ทำไมเล่า”  วานีนอ้างทันควัน  บาร์เทนเดอร์หน้าหวานหันกลับไปยังรามีเอลที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างงุนงง  แล้วอธิบาย  “หมอนี่น่ะเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านเรา  เป็นลูกชายเจ้าของโรงน้ำแข็งที่อุปถัมภ์ค้ำจุนโซดิแอคคาเฟ่เลยนะ”  พูดพลางเคลื่อนกายเข้าใกล้คนที่ว่า  แล้วยกศอกขึ้นพักบนไหล่ร่างสูงอย่างสนิทสนม

ฟรอสต์ปรายตามองคนข้างตัวเล็กน้อย  อันที่จริงเขาไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่อีกฝ่ายจะต้องแนะนำเขาซะเต็มยศขนาดนั้น  ในเมื่อสุดท้ายหุ้นส่วนทุกคนในร้านก็ต้องลงมาทำงานจิปาถะเป็นมนุษย์กินเงิน เดือนในร้านคาเฟ่เหมือนกันอยู่ดี  อ้อ…ยกเว้นไว้สักคนสองคนแล้วกัน

“ให้ตายเถอะ”  แว่วเสียงเลออสสบถอย่างหงุดหงิด  ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะดังแว่วเข้าหูจากใครบางคนไม่ใกล้ไม่ไกล…

หมอนั่นต้องโดนเจ้าตัวยุ่งข้างๆ เขาแกล้งเอาแน่ ถึงได้ดูอารมณ์เสียแต่เช้า

ฟรอสต์คิดในใจพลางส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหันกลับมาจับจ้องพนักงานคนใหม่ของร้านที่กำลังจ้องพวกเขาตาแป๋ว

“ทำงานกันเถอะ”  นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ฟรอสต์พูดก่อนจะขยับตัวเดินไปยังอีกส่วนของหลังร้าน ซึ่งไว้เป็นที่ตั้งล็อกเกอร์สำหรับพนักงานทุกคน  ชายหนุ่มไขกุญแจล็อกเกอร์ของตนแล้วเริ่มเปลี่ยนชุด

“นั่นสินะ”  วานีนอมยิ้มเห็นดีเห็นงามด้วย  “เลออส ฝากนายเป็นพี่เลี้ยงจัดการสั่งงานรามีเอลด้วย ฉันจะไปดูหน้าร้านซะหน่อย”

คนถูกโบ้ยงานนิ่งค้างระหว่างที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มผลักประตูเล็กออกไป แล้ว  รามีเอลเองก็ยืนกะพริบตาปริบๆ มองตามไป  ได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้องอยู่ในใจด้วยความอึดอัดที่ถูกทิ้งให้อยู่กับคนที่ จีบเพิ่งตนไปหมาดๆ  ชายหนุ่มเหลือบมองคุณเจ้าของร้านแว่บหนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อ เมื่อใบหน้าคมคายนั้นหันมา

“ให้ตายเถอะ”  เลออสสบถเป็นรอบที่สองของวัน  หวังในใจว่าอย่าให้มีรอบที่สาม  ไม่อย่างนั้นเขาจะขึ้นไปหยิบยาบรรเทาปวดมากินแก้เครียดให้รู้แล้วรู้รอด  ชายหนุ่มคิดพลางมองตัวปัญหาตรงหน้าซึ่งกำลังตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้น คนเป็นพี่เลี้ยงงานจำเป็นก็เข้าไปยืนข้างๆ

“มีงานอะไรที่ฉันต้องรู้อีกก็ว่ามา”  รามีเอลเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน  อย่างน้อยการทำตัวเป็นลูกจ้างที่ดีก็อาจจะทำให้เราเข้าหน้าคนที่ไม่ถูกขี้ หน้าได้ง่ายขึ้น  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยลองทำ เพราะไม่เคยมีปัญหากับคนในบริษัทสักคนสักครั้งก็เถอะ

แต่กับหมอนี่ต้องละไว้เป็นพิเศษ

เสียงถอนหายใจดังแผ่ว  “นั่นสินะ… ก่อนอื่นก็ต้อง…”  เลออสว่าพลางสาวเท้าเข้าไปทางด้านหลังของเด็กไม่รู้งาน  เอื้อมมือใหญ่ไปสัมผัสเส้นผมสลวยเบื้องหน้ารวบเข้าไว้ด้วยกันอย่างไม่มี บอกกล่าวจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง  แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ  “ก่อนอื่นก็ต้องจัดการกับผมของนายก่อน  จะมาทำงานอยู่ในครัว แต่ปล่อยรุงรังอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน”

“…โอเคๆ”  รามีเอลรับเสียงอ่อยในความไม่ระวังของตัวเอง  “คราวหลังฉันจะระวัง”

คุณเจ้าของร้านถอนหายใจระหว่างหายางเส้นหนึ่งมามัดผมให้เด็กใหม่ผู้ไม่ รู้งานด้วยสำนึกความเป็นพี่เลี้ยงที่ดี  เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเจ้าหุ้นส่วนรายใหญ่หาเรื่องกระแนะกระแหนด้วยความรัก  วานีนเป็นชายหนุ่มหน้าหวานที่โปรยยิ้มใจดีกับลูกค้าทุกคนที่เข้าร้าน  แต่กับพวกที่รู้จักมักจี่กันมานานนม คุณบาร์เทนเดอร์แสนสวยแทบจะเรียกได้ว่าเป็นปีศาจในคราบนางฟ้า  รักการแกล้งคนเป็นชีวิตจิตใจ  และรักสนุกพอๆ กับที่รักเส้นผมของตัวเอง

ฟรอสต์เดินออกมาหลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อย  ร่างสูงไม่ได้ใส่สูทบริกรอย่างที่เลออสและวานีนใส่เพราะเขาค่อนข้างจะรำคาญ กับมัน  แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นจนถึงข้อศอกเพื่อความสะดวกในการทำงาน  ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย  คิ้วขมวดมุ่นมีแววยุ่งยากใจบางอย่าง

เป็นภาพแปลกดีที่เห็นเลออสกำลังรวบเผ้าผมให้คนอื่น

เห็นคนที่กำลังล้างจานทำหน้าหงอยในความผิดพลาดของตัวเองแล้วย้อนกลับมา มองคุณเจ้าของร้านอีกรอบ  ภาพตรงหน้าก็เหมือนกับ…เด็กประถมกับพี่เลี้ยง

ร่างสูงกระตุกยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาทั้งสอง  ก่อนจะเปรย  “น่าแปลกใจที่วานีนรับพนักงานใหม่”

คนฟังทั้งสองหันมาสนใจเขาในทันใด  เลออสทำสีหน้าปั้นยากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า  และใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะสะบัดมันออกไปจากหัว

“อ่า… ฉันก็ไม่รู้สิ อยู่ๆ มันก็เอ่ยปากชวนเจ้านี่มาทำงาน”

‘เจ้านี่’ รามีเอลทวนสรรพนามอันไพเราะนั้นไว้ในใจ  อย่างน้อยก็ฟังดูดีกว่า ‘ไอ้เจ้าของร้านเสือผู้หญิง’ ที่เขาตั้งให้อีกฝ่ายล่ะนะ

“เห็นเขาบอกว่าอยากได้คนช่วยเวลาร้านวุ่นๆ”  ผู้เป็นต้นเหตุแห่งความสงสัยเอ่ยขึ้นมาบ้าง  “และยังไงผมก็ตกงานแล้ว ก็เลยมาลองทำดูสักหน่อย”

“ก็จริง”  ฟรอสต์พยักหน้าเห็นด้วย  เขาเอาจานที่ล้างเสร็จแล้วเรียงเข้าตู้อย่างเป็นระเบียบ

“ว่าแต่… พวกนายสักคนจะช่วยอธิบายอะไรคร่าวๆ เกี่ยวกับงานให้ฉันฟังได้ไหม  อย่าบอกนะว่าฉันจะต้องยืนล้างจานทั้งวัน”

“วานีนไม่ได้บอกอะไรนายหรือไง”  เลออสย้อนถามอย่างหงุดหงิด

“บอกแค่ว่าที่นี่เปิดเจ็ดโมงถึงเที่ยงคืน  ตอนเช้าเป็นร้านอาหาร  ส่วนตอนเย็นเป็นบาร์  แล้วก็บอกว่านายซุกหัวนอนอยู่ในร้านนี้”  รามีเอลย้อนเป็นชุด  “แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าที่นี่มีพนักงานกี่คน ใครมีหน้าที่อะไรบ้าง แล้วฉันควรทำอะไร”

“ที่นี่มีพนักงานอยู่คนเดียวคือนาย”  เสียงตอบดังมาจากฟรอสต์  นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์เบือนไปสบอย่างกังขา  ฟรอสต์สบตาด้วยเล็กน้อยก่อนจะก้มลงจัดการถ้วยโถโอชามต่อพลางพูดไปด้วย  “ร้านเราเกิดจากการลงขันกันทำของคนรู้จักสิบเอ็ดคน  ทุกคนในร้านถือเป็นหุ้นส่วนกันหมด  เพราะคนเยอะเราก็เลยไม่รู้ว่าจะจ้างพนักงานไปทำไม  ฉันถึงได้แปลกใจที่วานีนรับพนักงานเข้ามาไง”

นั่นเป็นประโยคแรกที่รามีเอลได้ยินฟรอสต์พูดเกินสิบคำตั้งแต่เจอหน้ากันมา

สรุปคือเขาเป็นพนักงานคนเดียว…

ร่างบางสรุปให้ตัวเองอย่างมึนๆ

…นอกนั้นถือหุ้นที่นี่กันหมด  นี่เขากำลังจะกลายเป็นเบ๊ของที่นี่หรือเปล่านะ

“เอ่อ… แล้วพวกนายแบ่งกันดูแลร้านยังไง”  คนกำลังมึนถามเพื่อหาช่องทางที่พอจะให้เห็นได้บ้างว่าเขามีอะไรต้องทำบ้าง

คราวนี้เลออสเป็นฝ่ายตอบ

“วานีนเป็นบาร์เทนเดอร์ประจำร้านเรา ประจำตั้งแต่เช้ายันเย็น พอร้านปิดหมอนั่นก็จะไสหัวกลับบ้าน  ฟรอสต์เป็นพนักงานเสิร์ฟของที่นี่ตลอดทั้งวันเหมือนกัน  แล้วก็เป็นคนส่งน้ำแข็งมาจุนเจือร้านเรา  มีหุ้นส่วนเราอีกสองคนเป็นพ่อครัว  ประจำตั้งแต่กลางวันยันปิดร้านสลับกันไป  อย่าพูดถึงตอนเช้าเพราะเราไม่มีอย่างอื่นนอกจากไข่ดาว ไส้กรอก แฮม แล้วก็ซุปที่ฉันหรือวานีนพอจะทำได้ ดังนั้นไอ้พวกนั้นมันถึงไม่มา…

มีอีกคนหนึ่งที่จะมาประจำร้านเราทุกวันพุธเพื่อจะมาดูดวงให้ลูกค้าที่ อยากรู้ชะตาชีวิตของตัวเองกันนักหนา  เจ้าหนูคนอีกคนหนึ่งยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบจะมาช่วยที่ร้านทุกๆ เย็น  หมอนั่นก็ลงขันกับเราเหมือนกัน  แล้วเราก็ยังมีหุ้นส่วนอีกคนเป็นนักเล่นดนตรีประจำร้านที่จะมาเฉพาะตอนกลาง คืน วันอาทิตย์เท่านั้นที่ที่ร้านเราจะหยุด”

คนพูดร่ายยาวเสียเป็นพรืด  ชนิดที่ถ้าคนฟังไม่ตั้งใจฟังให้ดี ก็จะงงเป็นไก่ตาแตก  แต่ถึงฟังก็ยังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ดี  ด้วยรามีเอลได้ยินเสียงปวดตึ๊บอยู่ในหัวเพราะตั้งใจฟังมากไป

“ส่วนฉัน…”  เลออสชี้นิ้วโป้งเข้าหาตัวเองแล้วยกยิ้ม  “ก็เป็นเจ้าของร้าน”

“เดี๋ยวนะ”  รามีเอลพยายามทบทวนความจำของตน  “ที่นี่มีหุ้นส่วนสิบเอ็ดคน มีบาร์เทนเดอร์หนึ่ง พนักงานเสิร์ฟหนึ่ง พ่อครัวสอง หมอดู  เด็กมหาลัย  กับนักดนตรีอีกอย่างละหนึ่ง  นายเป็นเจ้าของร้าน  รวมเป็นเก้าคน  …แล้วที่เหลืออ่ะ”

เขาเงยหน้าถามอย่างงงๆ  เลออสเปลี่ยนสีหน้าแสดงความคับแค้นใจในฉับพลัน  สองมือท้าวเอวแล้วเริ่มพูดอย่างประสาทเสีย

“ก็น่าน…น่ะสิ!”  คุณเจ้าของร้านว่าเสียงแกนๆ  “เรายังมีอนงค์นางนางหนึ่งเป็นเจ้าแม่เงินกู้  นั่งทวงเงินลูกหนี้ทั้งวันเลยไม่มีเวลามาดูแลร้าน  ท่านชายอีกหนึ่งหน่อเป็นคู่สวีทวี๊ดวิ้วของเจ้าหล่อนเป็นคนให้เราเช่าที่ดิน ผืนนี้  หมอนั่นก็เลยหาข้ออ้างไม่ลงมาดูร้านกันง่ายๆ แต่วันที่มาเก็บค่าเช่ากับกำไรส่วนของตัวเองนี่มาตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน เหมือนคุณผู้หญิงเปี๊ยบเลย  เพิ่งรู้ว่าความงกมันออสโมซิสถึงกันได้  ส่วนอีกคนหนึ่งที่เหลือถือเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก  ดังนั้นเราไม่ควรใช้ผู้ใหญ่ทำงาน”

สิ้นเสียง  คนพูดก็ต้องอ้าปากพะงาบๆ สูดออกซิเจนเข้าเต็มปอดให้สมกับที่กลั้นหายใจพูดมาซะยาว

“ท่าทางจะเก็บกดมาก”  คนที่อยู่ในครัวอีกคนพึมพำด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ  …แต่ในประโยคที่เลออสพูดมาทั้งหมด ก็ไม่ได้เกินจริงสักเท่าไหร่

รามีเอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  ก่อนจะทำหน้าปวดใจแทน  ไม่ใช่เพราะชะตากรรมของร้าน  แต่เพราะอาการขาดออกซิเจนของคุณเจ้าของร้านมากกว่า

ถามประโยคเดียว  ตอบยาวเป็นหางว่าว

มือใหญ่ตะปบหมับเข้าที่ไหล่ของคนฟัง พลางออกแรงดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาใกล้

“ไม่รู้สินะ  คงเพราะร้านเรามีแต่พวกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มาทำงานไม่เป็นเวลาอย่างที่ฉันว่า วานีนเห็นนายตกงานอยู่ก็เลยอยากจะจ้างเอาไว้ล่ะมั้ง”

ตกงาน

รามีเอลทวนคำในใจ  รู้สึกดีใจแปลกๆ

โชคดีที่ซ่อนอยู่ในโชคร้ายล่ะมั้งเนี่ย…

“แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าจะให้นายทำอะไรดี  แล้วนายก็เพิ่งมาแค่วันแรกจะให้ออกไปรับออร์เดอร์ก็กลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง เมนู  เพราะงั้น…นายก็อยู่ในครัว ก้มหน้าทำงานจิปาถะไปเถอะ”

ขอถอนคำพูดอย่างด่วนเลย  รามีเอลตะโกนด่าในใจ

โชคร้ายซ้ำซ้อนต่างหาก!!!

ให้ตาย!  ความหมายของคำว่า ‘จิปาถะ’ นี่มันกว้างยิ่งกว่าทะเลอีกนะ  ตีความเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากพนักงานยกของ เก็บกวาด ล้างจาน ล้างถ้วย  เช็ดกระจก  กวาดพื้น  รดน้ำต้นไม้  เผลอๆ อาจมีบริการพนักงานในร้านกันเองเวลาปวดเมื่อยอย่างไม่ต้องสงสัย และอื่นๆ ที่เขาอาจจะยังไม่ได้นึกถึง

เรียกง่ายๆ ว่า งานเบ๊ นั่นเอง

มือที่เคยจับไหล่เลื่อนมาจับที่ปลายคางของคนกำลังเซ็งอย่างหยอกล้อ  เลออสยิ้มพราวทั้งตาทั้งปาก  รู้สึกมีความสุขที่ได้แกล้งคนตรงหน้า  ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมวานีนชอบแกล้งคนเหลือเกิน

“ดังนั้นทำงานวันแรกก็ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ คุณเด็กใหม่”

แล้วร่างสูงของเจ้าของร้านก็เดินลิ่วออกไปอย่างอารมณ์ดี

ฟรอสต์มองร่างคนที่กำลังนิ่งงันแล้วยิ้ม

“อย่าคิดมากไปเลยน่า”  เขาปลอบ  “ถ้านายจำเมนูร้านเราได้ทั้งหมด เดี๋ยวก็ได้ออกไปรับออร์เดอร์เองนั่นแหละ”

รามีเอลหันไปมอง  “แล้วนายมีหน้าที่อะไรในร้าน”

“ฉันเป็นบริกร”  คนถูกถามยักคิ้วเล็กน้อยระหว่างเช็ดมือที่เปียกน้ำของตนก่อนจะเดินออกไป

เหลือแต่เขาที่อยู่ในครัวตามลำพัง

“บริกรก็ยังดีกว่าเบ๊ล่ะวะ”
 
“คุณเด็กใหม่ มาจัดโต๊ะหน่อยเร็ว!”  เสียงคุณเจ้าของร้านแว่วเข้ามา

นรก…เริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น

-To be Continued-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น