Chapter 2: Responsibility
“ครึ่งวันแรกคาเฟ่ของเราจะเปิดเป็นร้านอาหารธรรมดา
ส่วนตอนเย็นเราถึงจะเริ่มเปิดบาร์ ช่วงเช้าน่ะคงยังไม่ค่อยมีคนมานัก
แต่ตอนกลางวันระวังให้ดีนะครับ
พวกพนักงานบริษัทแถวนี้จะเริ่มแห่มาทานอาหารร้านเรากัน”
รามีเอลปล่อยให้คำบอกเล่าของวาเนลอส
เอนวารันย่าหรือชายหน้าหวานผู้มีชื่อย่อๆ ว่า ‘วานีน’ ไหลผ่านหูไป
ตอนนี้เขาเปลี่ยนชุดเป็นชุดพนักงานร้านนี้เรียบร้อยแล้วและกำลังสาละวนอยู่
กับการล้างจานกองมหึมาข้างหน้าให้เสร็จก่อนลูกค้าช่วงเที่ยงวันจะมา
…ทดลองงานด้วยการล้างจาน
มีจานใบที่ตัวเองเพิ่งจะทานไปเมื่อครู่อีกต่างหาก
ยังจำได้หลังจากวานีนลากตัวเขาเข้ามาหลังร้านแล้วชี้ให้ดูกองจานที่ต้อง
ล้างให้เสร็จ
…งานหลังร้านที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ลงมาจับมันจริงๆ
ความรู้สึกราวกับเป็นลูกค้าที่กินแล้วไม่มีเงินจ่าย
ต้องชดใช้ด้วยแรงงานและร่างกายเหมือนในการ์ตูนอย่างไรอย่างนั้น
“ร้านเราเปิดบริการตอนเจ็ดโมงเช้าถึงเที่ยงคืน
ท่านเจ้าของร้านจะซุกหัวนอนอยู่ชั้นบนของร้านไม่หายไปไหน
ดังนั้นถ้าวันไหนคุณมาเช้ามากๆ
หรือตอนกลางดึกต้องการความช่วยเหลือก็มากดกริ่งประตูร้านเรียกเขาได้เสมอ”
คุณหุ้นส่วนรายใหญ่ของคาเฟ่แจกแจงแถลงไถด้วยรอยยิ้มอย่างหวังดีระหว่าง
ช่วยพนักงานใหม่เรียงจานที่ล้างเสร็จแล้วให้เข้าที่
แต่คนฟังก็ยังไม่เห็นเหตุผลว่าเขาจะลุกขึ้นมาขอความช่วยเหลือเจ้าของร้านตอน
ดึกๆ ไปทำไม
“ไม่ต้องอธิบายละเอียดขนาดนั้นก็ได้ ผมยังไม่รับปากเสียหน่อยว่าจะมาทำงานที่ร้านนี้”
วานีนยิ้มกับประโยคนั้นอย่างไม่เดือดร้อน “แล้วคุณมีที่ไปหรือ”
พอได้ยินประโยคนี้คนฟังถึงกับถอนหายใจแล้วละงานที่ทำอยู่ชั่วคราว
รามีเอลหันไปมองบาร์เทนเดอร์หน้าสวย
แล้วเห็นดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายราวกับเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่ายังไงเขาก็
ต้องลงหลักปักฐานที่นี่เป็นแน่
“บริษัทในประเทศมีเยอะแยะถมไป”
“อาจไม่เยอะในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้”
คู่สนทนาติงด้วยความจริงที่ทำให้คนฟังต้องสะอึก
แล้วแอบถอนใจเฮือกอยู่ในอก …คนๆ นี้เล่นด้วย…ยาก
“สุดท้ายคุณก็ไม่พ้นล้างจานในร้านอาหารอยู่ดี เชื่อผมสิ”
วานีนพูดอีกครั้งพลางขยิบตาอย่างน่ารักน่าชังในสายตาของคนมอง
ชายหนุ่มหันกลับมายังกองจานตรงหน้าอย่างเซ็งจัดแล้วคว้ามันขึ้นมาล้างต่อ
พลางพูดอย่างยอมรับ
“อา…คงจริง” วานีนยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายจนมุมในที่สุด
“จะว่าไป…คุณบอกว่าตอนกลางวันลูกค้าจะเยอะสินะ
แต่คุณมีกันอยู่สองคนแล้วคุณจัดการกับลูกค้ายังไง”
คนถูกถามนั่งพิงกับเคาน์เตอร์ครัวพลางกอดอกอธิบาย “จริงๆ
แล้วนอกจากผมกับเลออสก็ยังมีอีกเก้าคนที่เป็นหุ้นส่วนกับเรา
แล้วเราก็มีพ่อครัวประจำที่จะว่างมาเฉพาะช่วงกลางวันและช่วงเย็นเท่านั้น
ดังนั้นผมกับเลออสก็รับมือไม่ลำบากเท่าไหร่
ส่วนช่วงเช้าเราจะขายเฉพาะอาหารเช้าเบาๆ ที่ผมกับเลออสทำได้
ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร”
รามีเอลขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับประโยคเมื่อครู่
“เดี๋ยวนะ… คุณบอกว่าร้านเล็กๆ แบบนี้กลับมีหุ้นส่วนตั้งสิบเอ็ดคนงั้นหรือ!?”
“เป็นคนรู้จักกันลงขันกันทำน่ะ โดยคุณเจ้าของร้านเป็นตัวตั้งตัวตี”
คำอธิบายของวานีนทำให้ร่างบางต้องวางมือจากงานที่ทำอยู่อีกครั้งเพราะความ
อยากรู้อยากเห็น
“เจ้าเสือผู้หญิงนั่นเป็นคนต้นคิด
แต่คุณกลับเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดเนี่ยนะ …ตลกดี”
เขาตั้งข้อสังเกตพลางหัวเราะหึๆ
ไม่เกรงกลัวที่จะใช้สรรพนามเรียกแทนเจ้าของร้านด้วยความเคารพรัก
ส่วนคนฟังเองก็ไม่ได้คิดจะทักท้วงแต่อย่างใด
“มันง่ายน่ะถ้าเขาจะส่งต่อร้านให้ผม”
บาร์เทนเดอร์หนุ่มเกี่ยวเส้นผมที่ยาวจนถึงเอวของตนขึ้นมาม้วนเล่นอย่างไม่มี
อะไรทำ คิ้วสีอ่อนขมวดเข้าหากันน้อยๆ
“หมอนั่นเป็นคนไม่จริงจังกับอะไรเท่าไหร่ ตอนชวนทำร้านนี้ก็เหมือนกัน
ตอนนั้นมันมีเงินไม่พอจะเช่าตึกด้วยซ้ำ คิดแล้วน่าหงุดหงิดจริงๆ”
รามีเอลหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นแววความหงุดหงิดบนใบหน้าสวยหวานของคู่
สนทนา ก่อนจะซักต่ออย่างนึกสนุก
เรื่องความเป็นมาของคาเฟ่แห่งนี้น่าสนใจดีไม่หยอก
“แล้วอะไรทำให้พวกคุณลงทุนตามเขาไปล่ะ”
แล้วคนข้างตัวกระตุกยิ้ม “มันน่าสนุกน่ะสิ”
“หา…”
ไม่ทันได้อึ้งต่อ
เสียงกระดิ่งประตูร้านก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากพนักงานร้านทั้งสองไป
พวกเขาได้ยินเสียงเลออสกำลังพูดกับใครบางคน ไม่นานเสียงฝีเท้าหนักๆ
ก็เข้ามาใกล้หลังร้าน เลออสผลักประตูเล็กโผล่เข้ามา
คุณเจ้าของร้านกำลังแบกกระสอบอะไรสักอย่างบนไหล่ข้างหนึ่ง
นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงปรายมาที่รามีเอลเล็กน้อย ยังอดขุ่นเคืองอีกฝ่ายเล็กๆ
ในใจไม่ได้ ก่อนจะเบือนหนีหันไปยังตู้เย็นเหล็กขนาดใหญ่
ชายหนุ่มดึงช่องด้านล่างออกมาก่อนจะเทของในกระสอบลงไปแช่เย็น
“ฟรอสต์มาแล้วเหรอ” วานีนถามขึ้นเมื่อเห็นของในตู้ที่เพิ่งเทลงไป
เลออสยังไม่ทันตอบ
เช่นเดียวกับรามีเอลที่ยังไม่ทันได้ถามว่าใครคือฟรอสต์
คำตอบของเขาก็เดินเข้ามาหลังร้าน
นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์สะท้อนภาพชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินแบกกระสอบตามเข้า
มา เรือนผมสั้นสีเงินยวงช่วยขับให้ผิวขาวสะอาดสะอ้านดูโดดเด่น
นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างทว่าดูเข้มและลึกล้ำกว่าของวานีนหันมาสบตาเขาอย่างไม่
ตั้งใจ แล้วเผยแววแปลกใจน้อยๆ ที่เห็นคนไม่คุ้นหน้าอยู่ในร้าน
เสียแต่ดวงหน้าคมคายนั้นค่อนข้างดูจะไร้อารมณ์อยู่สักหน่อย
“ฉันเอาน้ำแข็งมาส่ง” เสียงทุ้มลึกเอ่ยเรียบๆ
“อรุณสวัสดิ์” วานีนยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปรับกระสอบน้ำแข็งมาจากร่างสูงมาเทใส่ตู้
ฟรอสต์ยังคงสบตากับชายหนุ่มร่างบางผมสีทองยาวสลวยซึ่งเขามั่นใจเหลือเกิน
ว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนอย่างแปลกใจ
เลออสมองทั้งสองคนไปมาก่อนจะกระแอมอย่างเสียมิได้ ขืนไม่อธิบาย
ปล่อยให้มองหน้ากันต่อไปไม่ต้องทำอะไรกันพอดี
“วันนี้เราได้พนักงานเข้ามาใหม่น่ะ นี่รามีเอล เรมีอา รามีเอล นี่ฟรอสต์ เซลาดอน เพื่อนร่วมงานของนาย”
“ยินดีที่ได้รู้จัก” ฟรอสต์กล่าวพลางยื่นมือออกมา ทำให้รามีเอลต้องรีบเปิดน้ำล้างมือแล้วเอื้อมมาจับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“เช่นกันครับ”
มือของฟรอสต์เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง …ก็แน่สิ เพิ่งจะแบกน้ำแข็งมานี่นา
“โอ๊ย!”
เลออสร้องเสียงหลงเมื่อผมที่รวบอยู่ด้านหลังถูกใครบางคนดึงซะสุดแรง
นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงหันไปมองคนประทุษร้ายเบื้องหลัง
เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของผู้ต้องหาเป็นสิ่งแรก
คุณเจ้าของร้านแยกเขี้ยวแล้วเอ่ยประชด
“คุณหุ้นส่วนรายใหญ่มีปัญหาอะไรกับกระผมอีกไม่ทราบ”
“ก็นายพูดลดขั้นฟรอสต์ทำไมเล่า” วานีนอ้างทันควัน
บาร์เทนเดอร์หน้าหวานหันกลับไปยังรามีเอลที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างงุนงง
แล้วอธิบาย “หมอนี่น่ะเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านเรา
เป็นลูกชายเจ้าของโรงน้ำแข็งที่อุปถัมภ์ค้ำจุนโซดิแอคคาเฟ่เลยนะ”
พูดพลางเคลื่อนกายเข้าใกล้คนที่ว่า
แล้วยกศอกขึ้นพักบนไหล่ร่างสูงอย่างสนิทสนม
ฟรอสต์ปรายตามองคนข้างตัวเล็กน้อย อันที่จริงเขาไม่เห็นความจำเป็นใดๆ
ที่อีกฝ่ายจะต้องแนะนำเขาซะเต็มยศขนาดนั้น
ในเมื่อสุดท้ายหุ้นส่วนทุกคนในร้านก็ต้องลงมาทำงานจิปาถะเป็นมนุษย์กินเงิน
เดือนในร้านคาเฟ่เหมือนกันอยู่ดี อ้อ…ยกเว้นไว้สักคนสองคนแล้วกัน
“ให้ตายเถอะ” แว่วเสียงเลออสสบถอย่างหงุดหงิด ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะดังแว่วเข้าหูจากใครบางคนไม่ใกล้ไม่ไกล…
หมอนั่นต้องโดนเจ้าตัวยุ่งข้างๆ เขาแกล้งเอาแน่ ถึงได้ดูอารมณ์เสียแต่เช้า
ฟรอสต์คิดในใจพลางส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหันกลับมาจับจ้องพนักงานคนใหม่ของร้านที่กำลังจ้องพวกเขาตาแป๋ว
“ทำงานกันเถอะ”
นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ฟรอสต์พูดก่อนจะขยับตัวเดินไปยังอีกส่วนของหลังร้าน
ซึ่งไว้เป็นที่ตั้งล็อกเกอร์สำหรับพนักงานทุกคน
ชายหนุ่มไขกุญแจล็อกเกอร์ของตนแล้วเริ่มเปลี่ยนชุด
“นั่นสินะ” วานีนอมยิ้มเห็นดีเห็นงามด้วย “เลออส ฝากนายเป็นพี่เลี้ยงจัดการสั่งงานรามีเอลด้วย ฉันจะไปดูหน้าร้านซะหน่อย”
คนถูกโบ้ยงานนิ่งค้างระหว่างที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มผลักประตูเล็กออกไป
แล้ว รามีเอลเองก็ยืนกะพริบตาปริบๆ มองตามไป
ได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้องอยู่ในใจด้วยความอึดอัดที่ถูกทิ้งให้อยู่กับคนที่
จีบเพิ่งตนไปหมาดๆ
ชายหนุ่มเหลือบมองคุณเจ้าของร้านแว่บหนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อ
เมื่อใบหน้าคมคายนั้นหันมา
“ให้ตายเถอะ” เลออสสบถเป็นรอบที่สองของวัน
หวังในใจว่าอย่าให้มีรอบที่สาม
ไม่อย่างนั้นเขาจะขึ้นไปหยิบยาบรรเทาปวดมากินแก้เครียดให้รู้แล้วรู้รอด
ชายหนุ่มคิดพลางมองตัวปัญหาตรงหน้าซึ่งกำลังตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้น
คนเป็นพี่เลี้ยงงานจำเป็นก็เข้าไปยืนข้างๆ
“มีงานอะไรที่ฉันต้องรู้อีกก็ว่ามา” รามีเอลเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน
อย่างน้อยการทำตัวเป็นลูกจ้างที่ดีก็อาจจะทำให้เราเข้าหน้าคนที่ไม่ถูกขี้
หน้าได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยลองทำ
เพราะไม่เคยมีปัญหากับคนในบริษัทสักคนสักครั้งก็เถอะ
แต่กับหมอนี่ต้องละไว้เป็นพิเศษ
เสียงถอนหายใจดังแผ่ว “นั่นสินะ… ก่อนอื่นก็ต้อง…”
เลออสว่าพลางสาวเท้าเข้าไปทางด้านหลังของเด็กไม่รู้งาน
เอื้อมมือใหญ่ไปสัมผัสเส้นผมสลวยเบื้องหน้ารวบเข้าไว้ด้วยกันอย่างไม่มี
บอกกล่าวจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ก่อนอื่นก็ต้องจัดการกับผมของนายก่อน จะมาทำงานอยู่ในครัว
แต่ปล่อยรุงรังอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน”
“…โอเคๆ” รามีเอลรับเสียงอ่อยในความไม่ระวังของตัวเอง “คราวหลังฉันจะระวัง”
คุณเจ้าของร้านถอนหายใจระหว่างหายางเส้นหนึ่งมามัดผมให้เด็กใหม่ผู้ไม่
รู้งานด้วยสำนึกความเป็นพี่เลี้ยงที่ดี
เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเจ้าหุ้นส่วนรายใหญ่หาเรื่องกระแนะกระแหนด้วยความรัก
วานีนเป็นชายหนุ่มหน้าหวานที่โปรยยิ้มใจดีกับลูกค้าทุกคนที่เข้าร้าน
แต่กับพวกที่รู้จักมักจี่กันมานานนม
คุณบาร์เทนเดอร์แสนสวยแทบจะเรียกได้ว่าเป็นปีศาจในคราบนางฟ้า
รักการแกล้งคนเป็นชีวิตจิตใจ และรักสนุกพอๆ กับที่รักเส้นผมของตัวเอง
ฟรอสต์เดินออกมาหลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อย
ร่างสูงไม่ได้ใส่สูทบริกรอย่างที่เลออสและวานีนใส่เพราะเขาค่อนข้างจะรำคาญ
กับมัน แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นจนถึงข้อศอกเพื่อความสะดวกในการทำงาน
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย คิ้วขมวดมุ่นมีแววยุ่งยากใจบางอย่าง
เป็นภาพแปลกดีที่เห็นเลออสกำลังรวบเผ้าผมให้คนอื่น
เห็นคนที่กำลังล้างจานทำหน้าหงอยในความผิดพลาดของตัวเองแล้วย้อนกลับมา
มองคุณเจ้าของร้านอีกรอบ ภาพตรงหน้าก็เหมือนกับ…เด็กประถมกับพี่เลี้ยง
ร่างสูงกระตุกยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาทั้งสอง ก่อนจะเปรย “น่าแปลกใจที่วานีนรับพนักงานใหม่”
คนฟังทั้งสองหันมาสนใจเขาในทันใด
เลออสทำสีหน้าปั้นยากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า
และใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะสะบัดมันออกไปจากหัว
“อ่า… ฉันก็ไม่รู้สิ อยู่ๆ มันก็เอ่ยปากชวนเจ้านี่มาทำงาน”
‘เจ้านี่’ รามีเอลทวนสรรพนามอันไพเราะนั้นไว้ในใจ อย่างน้อยก็ฟังดูดีกว่า ‘ไอ้เจ้าของร้านเสือผู้หญิง’ ที่เขาตั้งให้อีกฝ่ายล่ะนะ
“เห็นเขาบอกว่าอยากได้คนช่วยเวลาร้านวุ่นๆ”
ผู้เป็นต้นเหตุแห่งความสงสัยเอ่ยขึ้นมาบ้าง “และยังไงผมก็ตกงานแล้ว
ก็เลยมาลองทำดูสักหน่อย”
“ก็จริง” ฟรอสต์พยักหน้าเห็นด้วย เขาเอาจานที่ล้างเสร็จแล้วเรียงเข้าตู้อย่างเป็นระเบียบ
“ว่าแต่… พวกนายสักคนจะช่วยอธิบายอะไรคร่าวๆ เกี่ยวกับงานให้ฉันฟังได้ไหม อย่าบอกนะว่าฉันจะต้องยืนล้างจานทั้งวัน”
“วานีนไม่ได้บอกอะไรนายหรือไง” เลออสย้อนถามอย่างหงุดหงิด
“บอกแค่ว่าที่นี่เปิดเจ็ดโมงถึงเที่ยงคืน ตอนเช้าเป็นร้านอาหาร
ส่วนตอนเย็นเป็นบาร์ แล้วก็บอกว่านายซุกหัวนอนอยู่ในร้านนี้”
รามีเอลย้อนเป็นชุด “แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าที่นี่มีพนักงานกี่คน
ใครมีหน้าที่อะไรบ้าง แล้วฉันควรทำอะไร”
“ที่นี่มีพนักงานอยู่คนเดียวคือนาย” เสียงตอบดังมาจากฟรอสต์
นัยน์ตาสีลาเวนเดอร์เบือนไปสบอย่างกังขา
ฟรอสต์สบตาด้วยเล็กน้อยก่อนจะก้มลงจัดการถ้วยโถโอชามต่อพลางพูดไปด้วย
“ร้านเราเกิดจากการลงขันกันทำของคนรู้จักสิบเอ็ดคน
ทุกคนในร้านถือเป็นหุ้นส่วนกันหมด
เพราะคนเยอะเราก็เลยไม่รู้ว่าจะจ้างพนักงานไปทำไม
ฉันถึงได้แปลกใจที่วานีนรับพนักงานเข้ามาไง”
นั่นเป็นประโยคแรกที่รามีเอลได้ยินฟรอสต์พูดเกินสิบคำตั้งแต่เจอหน้ากันมา
สรุปคือเขาเป็นพนักงานคนเดียว…
ร่างบางสรุปให้ตัวเองอย่างมึนๆ
…นอกนั้นถือหุ้นที่นี่กันหมด นี่เขากำลังจะกลายเป็นเบ๊ของที่นี่หรือเปล่านะ
“เอ่อ… แล้วพวกนายแบ่งกันดูแลร้านยังไง” คนกำลังมึนถามเพื่อหาช่องทางที่พอจะให้เห็นได้บ้างว่าเขามีอะไรต้องทำบ้าง
คราวนี้เลออสเป็นฝ่ายตอบ
“วานีนเป็นบาร์เทนเดอร์ประจำร้านเรา ประจำตั้งแต่เช้ายันเย็น
พอร้านปิดหมอนั่นก็จะไสหัวกลับบ้าน
ฟรอสต์เป็นพนักงานเสิร์ฟของที่นี่ตลอดทั้งวันเหมือนกัน
แล้วก็เป็นคนส่งน้ำแข็งมาจุนเจือร้านเรา
มีหุ้นส่วนเราอีกสองคนเป็นพ่อครัว
ประจำตั้งแต่กลางวันยันปิดร้านสลับกันไป
อย่าพูดถึงตอนเช้าเพราะเราไม่มีอย่างอื่นนอกจากไข่ดาว ไส้กรอก แฮม
แล้วก็ซุปที่ฉันหรือวานีนพอจะทำได้ ดังนั้นไอ้พวกนั้นมันถึงไม่มา…
มีอีกคนหนึ่งที่จะมาประจำร้านเราทุกวันพุธเพื่อจะมาดูดวงให้ลูกค้าที่
อยากรู้ชะตาชีวิตของตัวเองกันนักหนา
เจ้าหนูคนอีกคนหนึ่งยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบจะมาช่วยที่ร้านทุกๆ เย็น
หมอนั่นก็ลงขันกับเราเหมือนกัน
แล้วเราก็ยังมีหุ้นส่วนอีกคนเป็นนักเล่นดนตรีประจำร้านที่จะมาเฉพาะตอนกลาง
คืน วันอาทิตย์เท่านั้นที่ที่ร้านเราจะหยุด”
คนพูดร่ายยาวเสียเป็นพรืด ชนิดที่ถ้าคนฟังไม่ตั้งใจฟังให้ดี
ก็จะงงเป็นไก่ตาแตก แต่ถึงฟังก็ยังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ดี
ด้วยรามีเอลได้ยินเสียงปวดตึ๊บอยู่ในหัวเพราะตั้งใจฟังมากไป
“ส่วนฉัน…” เลออสชี้นิ้วโป้งเข้าหาตัวเองแล้วยกยิ้ม “ก็เป็นเจ้าของร้าน”
“เดี๋ยวนะ” รามีเอลพยายามทบทวนความจำของตน “ที่นี่มีหุ้นส่วนสิบเอ็ดคน
มีบาร์เทนเดอร์หนึ่ง พนักงานเสิร์ฟหนึ่ง พ่อครัวสอง หมอดู เด็กมหาลัย
กับนักดนตรีอีกอย่างละหนึ่ง นายเป็นเจ้าของร้าน รวมเป็นเก้าคน
…แล้วที่เหลืออ่ะ”
เขาเงยหน้าถามอย่างงงๆ เลออสเปลี่ยนสีหน้าแสดงความคับแค้นใจในฉับพลัน สองมือท้าวเอวแล้วเริ่มพูดอย่างประสาทเสีย
“ก็น่าน…น่ะสิ!” คุณเจ้าของร้านว่าเสียงแกนๆ
“เรายังมีอนงค์นางนางหนึ่งเป็นเจ้าแม่เงินกู้
นั่งทวงเงินลูกหนี้ทั้งวันเลยไม่มีเวลามาดูแลร้าน
ท่านชายอีกหนึ่งหน่อเป็นคู่สวีทวี๊ดวิ้วของเจ้าหล่อนเป็นคนให้เราเช่าที่ดิน
ผืนนี้ หมอนั่นก็เลยหาข้ออ้างไม่ลงมาดูร้านกันง่ายๆ
แต่วันที่มาเก็บค่าเช่ากับกำไรส่วนของตัวเองนี่มาตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน
เหมือนคุณผู้หญิงเปี๊ยบเลย เพิ่งรู้ว่าความงกมันออสโมซิสถึงกันได้
ส่วนอีกคนหนึ่งที่เหลือถือเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก
ดังนั้นเราไม่ควรใช้ผู้ใหญ่ทำงาน”
สิ้นเสียง คนพูดก็ต้องอ้าปากพะงาบๆ สูดออกซิเจนเข้าเต็มปอดให้สมกับที่กลั้นหายใจพูดมาซะยาว
“ท่าทางจะเก็บกดมาก”
คนที่อยู่ในครัวอีกคนพึมพำด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
…แต่ในประโยคที่เลออสพูดมาทั้งหมด ก็ไม่ได้เกินจริงสักเท่าไหร่
รามีเอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะทำหน้าปวดใจแทน ไม่ใช่เพราะชะตากรรมของร้าน แต่เพราะอาการขาดออกซิเจนของคุณเจ้าของร้านมากกว่า
ถามประโยคเดียว ตอบยาวเป็นหางว่าว
มือใหญ่ตะปบหมับเข้าที่ไหล่ของคนฟัง พลางออกแรงดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาใกล้
“ไม่รู้สินะ คงเพราะร้านเรามีแต่พวกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
มาทำงานไม่เป็นเวลาอย่างที่ฉันว่า
วานีนเห็นนายตกงานอยู่ก็เลยอยากจะจ้างเอาไว้ล่ะมั้ง”
ตกงาน
รามีเอลทวนคำในใจ รู้สึกดีใจแปลกๆ
โชคดีที่ซ่อนอยู่ในโชคร้ายล่ะมั้งเนี่ย…
“แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าจะให้นายทำอะไรดี
แล้วนายก็เพิ่งมาแค่วันแรกจะให้ออกไปรับออร์เดอร์ก็กลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง
เมนู เพราะงั้น…นายก็อยู่ในครัว ก้มหน้าทำงานจิปาถะไปเถอะ”
ขอถอนคำพูดอย่างด่วนเลย รามีเอลตะโกนด่าในใจ
โชคร้ายซ้ำซ้อนต่างหาก!!!
ให้ตาย! ความหมายของคำว่า ‘จิปาถะ’ นี่มันกว้างยิ่งกว่าทะเลอีกนะ
ตีความเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากพนักงานยกของ เก็บกวาด ล้างจาน ล้างถ้วย
เช็ดกระจก กวาดพื้น รดน้ำต้นไม้ เผลอๆ
อาจมีบริการพนักงานในร้านกันเองเวลาปวดเมื่อยอย่างไม่ต้องสงสัย และอื่นๆ
ที่เขาอาจจะยังไม่ได้นึกถึง
เรียกง่ายๆ ว่า งานเบ๊ นั่นเอง
มือที่เคยจับไหล่เลื่อนมาจับที่ปลายคางของคนกำลังเซ็งอย่างหยอกล้อ
เลออสยิ้มพราวทั้งตาทั้งปาก รู้สึกมีความสุขที่ได้แกล้งคนตรงหน้า
ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมวานีนชอบแกล้งคนเหลือเกิน
“ดังนั้นทำงานวันแรกก็ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ คุณเด็กใหม่”
แล้วร่างสูงของเจ้าของร้านก็เดินลิ่วออกไปอย่างอารมณ์ดี
ฟรอสต์มองร่างคนที่กำลังนิ่งงันแล้วยิ้ม
“อย่าคิดมากไปเลยน่า” เขาปลอบ “ถ้านายจำเมนูร้านเราได้ทั้งหมด เดี๋ยวก็ได้ออกไปรับออร์เดอร์เองนั่นแหละ”
รามีเอลหันไปมอง “แล้วนายมีหน้าที่อะไรในร้าน”
“ฉันเป็นบริกร” คนถูกถามยักคิ้วเล็กน้อยระหว่างเช็ดมือที่เปียกน้ำของตนก่อนจะเดินออกไป
เหลือแต่เขาที่อยู่ในครัวตามลำพัง
“บริกรก็ยังดีกว่าเบ๊ล่ะวะ”
“คุณเด็กใหม่ มาจัดโต๊ะหน่อยเร็ว!” เสียงคุณเจ้าของร้านแว่วเข้ามา
นรก…เริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น
-To be Continued-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น