บทนำ
.
.
.
ห้องผนังอิฐถูกฉาบด้วยสีส้มจากคบเพลิงที่ส่องสว่างสะท้อนภาพเงามนุษย์ไหว
วูบบนกำแพง นอกจากควันขาวของซิการ์จะลอยอบอวลไปทั่วห้องส่งกลิ่นฉุนแล้ว
ข้างในนี้ยังอวลไปด้วยหมอกควันแห่งความรู้สึกจากชายฉกรรจ์เหล่านักพนันทั้ง
หลาย ประกายความปลื้มปริ่ม ความสิ้นหวังสะท้อนชัดบนแววตาของแต่ละคน
เสียงร้องเฮคละกับเสียงร่ำไห้ผสมกับเสียงดนตรีบรรเลงดังลั่นห้อง
ทั้งที่รู้ว่ามีความเสี่ยงแต่คนเหล่านี้ก็ยังพร้อมที่จะเสี่ยงอย่างหน้ามืด
ตามัว ดุจดั่งกระโจนลงไปยังก้นบ่อที่เห็นว่ามีสมบัติอยู่มากมาย
โดยไม่เคยฉุกใจคิดสักนิดว่ามีหนามแหลมเป็นกับดัก
ชวนให้รู้สึกว่าสมกับเป็นที่อโคจรซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษรอบด้าน ทั้งเสียง
อากาศ สายตา และชีวิต
ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกนั้นมีโต๊ะตัวหนึ่งถูกจับจองโดยนักพนันสี่คนที่ส่ง
เสียงครื้นเครง
ทว่ามีหนึ่งในสี่คนนั้นกลับมีใบหน้าเคร่งเครียดกว่าใครเพื่อน
นัยน์ตาสีเงินหม่นจนคนมองสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง
ชวนให้รู้สึกน่าสงสาร…ทว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หรอก
คนที่ติดการพนันนั้นก็เหมือนคนที่ตกลงไปในหลุมที่ตัวเองขุดเอาไว้
และคนที่สนใจอยากลองนั้นก็เหมือนกับคนที่ขาลงไปอยู่ในหลุมข้างหนึ่งแล้ว
เจ้าหนูนี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ยินดีก้าวขาลงไปในหลุมก่อนจะร่วงลงไปอย่าง
ตอนนี้เพราะความอยากรู้อยากลอง แต่ช่างโชคร้ายที่ต้องมาเจอกับเขา
กลลวงของการพนันคือการล้อเล่นกับความโลภของมนุษย์
มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด
เมื่อได้แล้วก็จะยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีกอย่างไม่รู้จักพอ…
“เอ้าๆ ทำหน้าแบบนั้นก็เหมือนไม่ได้เล่นโป๊กเกอร์กันพอดีน่ะสิ”
ชายฉกรรจ์กระเซ้ายิ้มๆ ไปยังคนหน้าเครียด “โป๊กเกอร์เฟซน่ะรู้จักไหม
เจ้าหนู”
“อย่าไปกดดันมันนักเลย แค่นี้มันก็เครียดจะตายอยู่แล้วล่ะ ใช่ไหม”
เสียงผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งดังขึ้นเหมือนจะปราม
หากแต่น้ำเสียงนั้นเจือแววขบขันจนเห็นได้ชัด
นัยน์ตานั่นเงยขึ้นสบมอง ใบหน้าซีดเซียว “ท่านเจ้ามือ…ข้าว่าข้าเลิกเล่นดีกว่า”
คนฟังเบิกตา ก่อนพ่นหัวเราะออกมา “ไม่ได้ๆ
เริ่มแล้วก็ต้องเล่นให้มันจบๆ ตาสิ ค้างไว้แบบนี้มันผิดกติกา
ต่อให้ไพ่เจ้าจะแย่แค่ไหนก็คงไม่ถึงขนาดหมดตัวหรอกมั้ง”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ…” อีกฝ่ายตอบกลับมาเบาหวิว นัยน์ตาเริ่มชื้น
“เล่นแรกๆ มันก็ได้อยู่บ้าง แต่หลังๆ นี่ข้าโดนกินตลอด… หรือว่าท่านโกง?”
“เฮ้!” ชายอีกคนบนโต๊ะผุดลุกขึ้น
“หยุดก่อน” เจ้ามือนักพนันปรามให้อีกคนนั่งลง “จะถือสาอะไรกับเด็ก…
เจ้าหนู ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไปรังแกเด็กอย่างเจ้าทำไมกัน
มันคงอยู่ที่ดวงล่ะมั้ง แต่ไม่แน่ว่ารอบนี้อาจจะมีดวงก็ได้”
“งั้นข้าเลิกเล่นดีกว่า”
“ใจร้อนซะจริง” คนเป็นผู้ใหญ่พูดกลั้วหัวเราะ “เดี๋ยวๆ
เอาแบบนี้ไหม…”
มือหยาบกร้านผลักกองเหรียญที่อยู่ฝั่งตัวเองออกไปรวมกับกองเงินที่อยู่ตรง
กลาง “ข้าพนันให้เจ้าหมดหน้าตักเลยดีไหม”
เขาโยนเหยื่อชิ้นใหญ่ลงไป
“เอ๋!?” เด็กหนุ่มถึงกับเด้งตัวขึ้นมาด้วยความตกใจ “มะ… หมดหน้าตัก! จริงๆ นะ!”
“แต่เจ้าก็ต้องลงหมดหน้าตักเหมือนกัน มันเป็นมารยาท”
“มะ…หมดเลยเหรอ” อีกฝ่ายแสดงความลังเลใจ ก้มมองกองเงินของตัวเองที่เหลืออยู่น้อยนิด
“ยื่นหมูยื่นแมว เจ้าลองคิดดูสิมันอาจจะคุ้มก็ได้ ทั้งกองนี่ข้าว่าเกือบๆ สามพันเหรียญเลยนะ”
“สามพันเหรียญ!” เด็กหนุ่มอุทาน
ก่อนมองกองเงินนั้นตาโตแล้วลนลานเลื่อนกองเหรียญของตนออกมาบ้าง
“ท่านไม่ผิดคำพูดจริงๆ นะ หมดนี่เลยจริงๆ นะ!”
ชายฉกรรจ์หัวเราะหึๆ แล้วพยักหน้าเป็นการย้ำ เมื่อเห็นดวงตาสีเงินของอีกฝ่ายเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งก็ยิ้มอย่างสมใจ
เจ้าหนูจะไม่มีวันชนะในตานี้หรอก …เขามองไพ่ที่อีกฝ่ายมีในมือแล้วคิด
“เอาล่ะที่นี้ก็เปิดไพ่ได้เสียที”
แล้วพวกเขาก็พร้อมใจกันเปิดไพ่
สิ่งที่เห็นกลับทำให้ใบหน้าเคลือบยิ้มของชายทั้งสามเปลี่ยนไป
ทั้งที่พวกเขามั่นใจว่าในมือของตนมีไพ่ที่เหนือกว่า
แต่สิ่งที่อยู่ในมือเจ้าหนูตรงหน้านั่น…กลับเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“รอยัลฟัดจ์”
รอยยิ้มกลับเป็นของผู้อาวุโสน้อยกว่า
เป็นรอยยิ้มสมใจเกือบจะสะใจจนทำให้คนมองแทบคลั่ง
นัยน์ตาสีเงินเปล่งประกายสวยงามแต่ดูเย็นเยียบ
เด็กหนุ่มเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนราวกับท่าทีที่ผ่านมาเป็นภาพลวงตา
“โป๊กเกอร์เฟซน่ะรู้จักไหม ท่านเจ้ามือ”
.
.
.
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาดังเป็นครั้งที่สองหลังจากล่วงเลยเวลาเที่ยงคืนมา
ได้สองชั่วโมง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นเป็นสีดำสนิทไร้แสงสุกสกาวจากดวงดาวและพระจันทร์เพราะ
เป็นคืนเดือนมืด
จะมีก็แต่เพียงตะเกียงหน้าร้านรวงข้างทางที่ยังให้ความสว่างอยู่แม้ว่าร้าน
ค้าจะปิดไปแล้วก็ตาม ถนนสายยาวเงียบเหงาไร้รถราใดๆ สัญจร
เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบสงัดราวกับเมืองร้าง
แต่ก็ถูกทำลายด้วยเสียงๆ หนึ่งที่ดังมาจากในซอกตึกเล็กๆ
“อั่ก!”
เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างทั้งร่างของชายฉกรรจ์คนหนึ่งกระตุก
อย่างเจ็บปวดเมื่อผู้ประทุษร้ายกระแทกเข่าเข้าที่ท้องของเขาอย่างแรง
จนต้องลงไปนอนแอ้งแม้งไม่เป็นท่าบนพื้นสิ้นเรี่ยวแรงหลังจากถูกซ้อมมาเกือบ
ชั่วโมง แม้ว่าในใจของเขาจะรู้สึกว่ามันยาวนานราวกับหนึ่งวันเต็มๆ
ขณะที่ผู้กระทำยังคงยืนมองด้วยนัยน์ตาไร้อารมณ์
และมีผู้สมรู้ร่วมคิดยืนมองอยู่ใกล้ๆ
และมีร่างเพื่อนร่วมงานของเขาสลบอยู่ใต้แทบเท้าคนๆ นั้น
“พอได้แล้วมั้ง…เดี๋ยวมันก็ตายกันพอดี”
เสียงชายหนุ่มว่าหลังจากยืนดูมานาน ถึงจะพูดอย่างนั้น
แต่ท่าทางก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปขัดขวางการกระทำของผู้เป็นเพื่อนแต่ประการใด
ร่างที่เล็กกว่านิ่งไปเล็กน้อยเหมือนครุ่นคิด ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาเหยื่อเพียงด้าวเดียว ก็ทำให้ชายฉกรรจ์คนนั้นผวา ร้องลั่น
“พอแล้ว! พอแล้ว!! อย่าทำอะไรข้าเลย ขอร้องล่ะ!!”
เขาสาบานในใจว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับไอ้หนุ่มนี่อีก
ถึงแม้จะเห็นว่ามันตัวเล็กๆ ดูหลอกง่ายไร้พิษสงจากที่ตาเห็นครั้งแรกก็ตาม
แต่ใครจะไปรู้ว่ามันมีลูกเล่นกอบโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำในตอนสุดท้าย
จนเจ้านายของเขาเลือดขึ้นหน้า สั่งให้ตามมาสั่งสอนมันอย่างด่วน
ร่างนั้นก้มลงเก็บถุงเงินที่หล่นอยู่บนพื้น
และหันไปกระตุกถุงเงินที่ห้อยอยู่ที่เอวจากตัวเขา
ก่อนจะยืดตัวขึ้นโยนถุงเงินทั้งสองขึ้นลงในอากาศราวกับเป็นของเล่น
เสียงกรุ้งกริ๊งในถุงดังขึ้นไม่ขาด
น้ำหนักที่อยู่ในมือทำให้ร่างนั้นกระตุกยิ้มขึ้นเล็กๆ
“เงินแค่นี้ไม่เท่ากับที่พวกเจ้าโกงเงินชาวบ้านเขามาหรอกน่า”
ร่างนั้นพูดและทำท่าจะเดินจากไป
ชายฉกรรจ์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกนึกขอบคุณในพระเจ้า
ทว่าสุดท้ายร่างนั้นก็หันกลับมา
แสงจากตะเกียงที่ยังพอมีจากด้านนอกส่องเข้ามาให้พอเห็นนัยน์ตาสีน้ำแข็ง
วาววับในความมืด
นัยน์ตาอันเลือนรางของชายหนุ่มมองร่างตรงหน้ากระตุกยิ้มด้วยหัวใจเต้นรัว
เลือดในกายพลันเย็นเยียบเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อหยิบอะไร
บางอย่างออกมา
แล้วแสงสีเงินที่สะท้อนเข้านัยน์ตาก็ทำให้ชายหนุ่มเบิกตาโพลงลืมหายใจ
และล้มตึงไปทันที!
เหรียญเงินหนึ่งเหรียญดีดเข้าหน้าคนที่ล้มตึงเป็นศพไปเรียบร้อย
ขณะที่คนต้นเหตุเพิ่งสังเกตว่าร่างนั้นแน่นิ่งไป
จึงขมวดคิ้วมุ่นเข้าไปเอานิ้วอังที่จมูกทันที
ผิดกับอีกคนที่ยืนดูเหตุการณ์ตลอดกำลังขำพรืด
“หัวเราะอะไรของเจ้าน่ะ” คนกำลังเครียดตวัดเสียงที่ดูแหลมเล็กไปถาม
“ข้ากำลังคิดว่าเจ้านั่นมันตัวโตซะเปล่าแต่ใจปลาซิวชะมัดน่ะสิ”
คนถูกถามหลุดขำออกมาอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าข้าอยู่ในสถานการณ์แบบมันก็คงไม่คิดว่าคนที่กระทืบข้าจนเกือบตาย
เกิดใจดีในวินาทีสุดท้ายควักเหรียญเงินเป็นค่ารักษาแผลหรอกนะ
น่าจะคิดว่าควักมีดออกมาทะลวงไส้ข้ามากกว่า ฮ่าๆๆๆๆ”
เมื่อสัมผัสถึงลมหายใจที่ยังคงมีอยู่ ร่างนั้นก็ลุกขึ้นและหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มตรงๆ นัยน์ตาสีเงินสะท้อนแววรำคาญในอยู่วิบวับ
“ถ้าการกระทำของข้ามันน่าขันนัก บางทีข้าควรจะยอมเปลี่ยนใจควักมีดออกมาแทงเจ้าจริงๆ ล่ะมั้ง แบล็ค กาเบรียล”
ชายหนุ่มนามแบล็ค
กาเบรียลกระแอมไอเล็กน้อยแล้วใช้ความพยายามหุบยิ้มโดยการเกร็งกล้ามเนื้อ
ใบหน้าก่อนที่เพื่อนของเขาจะชักมีดออกมาทะลวงไส้อย่างที่ได้กล่าวไว้
ทว่าอย่างไรอีกคนก็ยังเห็นรอยบุ๋มเล็กๆ ที่มุมปากปรากฏขึ้นอยู่ดี
และมันทำให้ความพยายามนั้นดูไร้ประโยชน์
“น่า… จะซีเรียสไปทำไมนักหนา ตอนเข้าบ่อนเมื่อกี้ยังเครียดกว่าเลย
ตอนนั้นข้าล่ะกลัวว่าเจ้าจะหมดตัวจริงๆ แต่เวทลวงตานี่เจ๋งชะมัด
รอยัลฟัจด์เชียวนะ! ข้าคงต้องไปฝึกเวทบ้างแล้ว”
“เพราะข้ารู้ว่าถ้าเล่นกับเจ้าพวกนี้ ข้าไม่จำเป็นจะต้องเล่นอะไรให้มันใสสะอาดน่ะสิ” ซินซ์ตอบเสียงเรียบ
ตอนนี้ทั้งสองพากันเดินออกมาจากซอกตึก
หากใครยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้ก็คงจะเห็นหน้าตาของทั้งสองอย่างชัดเจน
บุรุษนามแบล็ค
กาเบรียลนั้นเป็นชายร่างสูงที่กำยำสมส่วนจนผู้ชายหลายคนยังอิจฉา
ผิวของเขาออกสีแทนนิดๆ ใบหน้าคมเข้มนั้นประกอบด้วยเครื่องหน้าได้รูป
จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเฉียบมักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
ดวงตาของเขาดูขี้เล่นตลอดเวลา
นอกจากนี้เขายังมีสีนัยน์ตาและสีผมสำดำสนิทสมชื่อ
ขณะที่สหายอีกคนนั้นไม่ได้มีรูปร่างกำยำสมส่วนเช่นเขา
ซินซ์มีรูปร่างผอมบางจนผิดจากลักษณะของชายชาตรีโดยสิ้นเชิง
เขาสูงแค่คางของแบล็ค มีผิวสีขาวสะอาด ใบหน้าติดจะหวานคม
ริมฝีปากได้รูปในเวลานี้ไม่มีรอยยิ้มเช่นเดียวกับนัยน์ตาสีเงินที่ส่อแวว
หงุดหงิดรำคาญใจต่อการขยี้หัวของเพื่อนรักที่ทำให้ผมสีน้ำตาลของเขา
ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
ทั้งสองเดินมาขึ้นมารถม้าที่จอดทิ้งไว้และเริ่มออกเดินทางโดยมีแบล็คเป็น
คนคุมบังเหียน เสียงฝีเท้าม้าและล้อรถดังก้องไปทั่วท้องถนนที่ไร้ผู้คน
สายลมยามค่ำคืนโชยมากระทบผิวกายนั้นเย็นสบายขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนที่ไป
ด้วยความเร็ว
“แล้วเราจะไปไหนกันต่อ เอาถุงเงินนั่นไปคืนคนว่าจ้างเลยดีไหม”
แบล็คเอ่ยถามคนข้างตัวแข่งกับเสียงลมที่ร้องหวีดอยู่ในหู
เขาพูดถึงถุงเงินที่ซินซ์กระตุกมาจากเจ้าตัวใหญ่ใจปลาซิวที่ยังนอนไม่ได้สติ
อยู่ในตรอก
คนถูกถามหาวหวอด
“กลับไปนอนสิเจ้าบ้า เรื่องอื่นค่อยว่ากันพรุ่งนี้”
.
.
.
- To Be Continued -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น